Last Call for Protecting Brands

ปกป้องสินค้าก่อนถึงมือผู้บริโภค

Full article TH-EN

จากสถานการณ์แนวโน้มในปัจจุบันในอุตสาหกรรมการผลิตสินค้ากลุ่มเบเกอรีที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้กำลังการผลิตสูงขึ้น ดังนั้น การเลือกใช้เครื่องจักรในกระบวนการผลิต รวมถึงการควบคุมคุณภาพจะต้องสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค หากกล่าวถึงการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์แล้ว เครื่องตรวจจับโลหะในกระบวนการผลิต ถือส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี

การ Reject สินค้าที่ดีทิ้ง เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย
ผลิตภัณฑ์กลุ่มเบเกอรีนั้น นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายสูง และเหตุนี้เองหากเลือกประเภทเครื่องตรวจจับโลหะที่ไม่ถูกต้องจะทำให้เกิดการ Fault alarm และ Fault reject คือการตรวจจับสินค้าดี และคัดแยกสินค้าดีทิ้ง ทำให้ ผลผลิตที่ได้เสียทิ้งไปโดยใช่เหตุ รวมถึงสูญเสียเวลาของการตรวจสอบสินค้าที่ถูกคัดแยกทิ้ง และต้นทุนในการทำลายสินค้า ดังนั้น เครื่องตรวจจับโลหะที่สามารถรองรับการทำงานในสภาวะความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ได้ดีจะช่วยทำให้กระบวนการผลิตสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ถูกผลิตออกมานั้นมีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ เครื่องตรวจจับโลหะรุ่นที่มีความถี่หลายความถี่ให้เลือกใช้จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับการผลิตเบเกอรี

เครื่องตรวจจับโลหะเสียไม่ได้ “ขนมปังที่ผลิตเสร็จแล้ว ต้องรีบนำออกขาย”
เครื่องตรวจจับโลหะถือเป็นด่านสุดท้ายเพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่ผลิตเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว หากเครื่องตรวจจับโลหะ เสีย หรือหยุดกะทันหัน นั่นหมายถึง เบเกอรีที่ผลิตเสร็จแล้วทั้งหมดต้องหยุดรอการซ่อมเครื่อง ไม่สามารถนำออกขายได้ และอายุของเบเกอรีเหล่านั้นจะลดลง หรืออาจต้องเสียทิ้งไป ซึ่งถือเป็นความเสียหายทางกระบวนการผลิตที่มหาศาล

เครื่องตรวจจับโลหะรุ่นที่สามารถตรวจสอบสภาพความสมบูรณ์ของตัวเอง บอกสภาวะการทำงานของเครื่องได้ แล้วแจ้งเตือนสภาวะการทำงานของเครื่องได้ล่วงหน้า (Condition monitoring) จะช่วยทำให้ลดระยะเวลาในการหยุดการทำงานจากความผิดปกติของเครื่องได้

From the current trend of an on-going growth in the bakery manufacturing industry, it has resulted in the higher production capacity. Therefore, selection of machines in the production process and quality control must go hand in hand with the consumer needs. Once the product quality control is mentioned, metal detector in the production process is considered as a part that helps to create product safety confidence.

Rejecting Quality Product Due to Product Varieties
Bakery product is considered as a high variety product. As its variety nature is a main reason, improper selection of metal detector can cause fault alarm and fault rejection. Detecting and rejecting good quality product will result in an unreasonable waste, losing time in checking product as the good product will be screening out anyway and the cost in clearing those wastes. Therefore, metal detector, which can response well in the different product variety circumstances can facilitate smooth production process and ensure that the final product has met qualified standard. A metal detector with various choices of frequency functions will help to ensure the most effective bakery production.

Metal Detector Cannot Be Malfunctioned or Breakdown “Once the bread is ready, it must be immediately on the shelf“

Because metal detector is considered as the last quality checkpoint, once the final product is ready, if metal detector has broken or stopped working at once, that means all the fresh bakery products are delayed to be on shelves for repairing process. Then, the bakery shelf life will be shortening or even ended as waste and that considers as an enormous loss in the production process.

High Speed Complete Line Secures Cambrew’s Leadership Position

Cambrew รั้งตำแหน่งผู้นำในตลาด ผ่านการใช้ไลน์การผลิตความเร็วสูง

By: Lucia Freschi
Public Relations Manager

Full article TH-EN

Cambrew ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเบียร์ Angkor Beer ที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชาได้ลงทุนในโซลูชันสายการผลิตที่สมบูรณ์แบบสำหรับโรงงานผลิตขนาดใหญ่ของพวกเขาใน สีหนุวิลล์ โดยโซลูชันแบบครบวงจรนี้ จะทำให้บริษัทสามารถผลิตเบียร์ได้ 120,000 กระป๋อง จากไลน์การผลิตต่อชั่วโมง

Cambrew เป็นโรงเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา นอกเหนือจากการผลิตเบียร์ Angkor Beer ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเบียร์แห่งชาติของกัมพูชาแล้วยังผลิตแบรนด์ยอดนิยมอื่น ๆ เช่น Klang Black Panther และ Angkor Extra Stout

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจของ Cambrew ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อตกลงในการบรรจุขวดและจัดจำหน่ายกับ PepsiCo และยังเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับบริษัทเบียร์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก Carlsberg ในปี 2549 ด้วยวิธีการที่แน่วแน่ต่อคุณภาพและการลงทุนที่โดดเด่นที่สีหนุวิลล์ Cambrew คือ ผู้นำที่โดดเด่นในตลาดเบียร์ท้องถิ่นที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่ในประเทศได้ ซึ่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี

มุ่งมั่นต่อคุณภาพของสินค้า
ทุกกระป๋องและทุกขวดของเบียร์ Cambrew ได้รับการบ่มโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ โดยใช้ส่วนผสมที่ดีที่สุด พวกเขาใช้ระบบการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่ามีมาตรฐานและคุณภาพที่สม่ำเสมอ

ด้วยความใส่ใจในรายละเอียดและคุณภาพการผลิตทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Cambrew ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในปี พ.ศ. 2552 รสชาติเบียร์อันสดใหม่ของอังกอร์ได้รับรางวัล Gold Quality Award โดยในปี พ.ศ. 2554 Angkor Extra Stout เป็นเบียร์กัมพูชาเพียงยี่ห้อเดียวที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติแห่งเบลเยียม Grand Quality Gold ซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดจากการคัดเลือกโดย Monde Selection of Belgium

Cambrew, Cambodia’s biggest brewery and producer of the iconic Angkor Beer, has invested in a comprehensive can complete line solution for their large production plant in Sihanoukville. This turnkey solution1 now ensures that 120,000 cans of beer roll off the line each hour, every hour.

Cambrew is the largest brewery in Cambodia. In addition to producing what is often acknowledged as Cambodia’s national beer, Angkor Beer, it also produces other popular brands, such as Klang, Black Panther and Angkor Extra Stout.

Over the years, the Cambrew business has steadily expanded, with a bottling and distribution agreement with PepsiCo followed by a strategic partnership with global beer giant Carlsberg in 2006. Thanks to an uncompromising approach to quality, and significant investments at its Sihanoukville plant, Cambrew is the standout leader in the local, can-dominated beer market. This attractive segment continues to grow at a steady pace year on year.

A single-minded focus on quality
All of Cambrew’s beers are brewed by international brew masters using the finest ingredients. They use a strict quality control system to ensure consistent high standards of quality.

This attention to production detail and quality has been internationally recognised over the past years. In 2009, the fresh crisp taste of Angkor received the Gold Quality Award. In 2011, Angkor Extra Stout became the only Cambodian beer to ever have received a Grand Quality Gold Award, the highest possible honour from the prestigious Monde Selection of Belgium.

Current State of Chinese Craft Beer Development

สถานการณ์การพัฒนาคราฟต์เบียร์จีนในปัจจุบัน

กองบรรณาธิการ
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

ปัจจุบัน ปริมาณการผลิตเบียร์ในประเทศจีนลดลงอย่างต่อเนื่องมาตลอด 4 ปี โดยปริมาณที่ผลิตในปี 2559 นั้นอยู่ที่ 4,506 ล้านกิโลลิตร ทั้งนี้ มี 5 มณฑลของจีนที่เป็นผู้ผลิตเบียร์ชั้นนำ ได้แก่ มณฑลชานตง มณฑลกวางตุ้ง มณฑลเหอหนาน มณฑลเจ้อเจียง และมณฑลเหลียวหนิง

ความฝันการสร้างเบียร์เยอรมันของจีน
ตลอดช่วงยุค 90s และต้นศตววรษที่ 21 เบียร์คอนเซปต์สไตล์บาวาเรียนในท้องถิ่นของเยอรมนีเกิดขึ้นมากมายหลายชนิดในกรุงปังกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ นำโดย Paulaner อย่างไรก็ตาม กรุงปักกิ่งยังเป็นฐานการผลิตของเบียร์สไตล์จีน เช่น Gold Hansen และเบียร์บาวาเรียอื่นๆ ที่ไม่มีการตั้งบริษัทอย่างจริงจังในจีน เช่น Hofbrauhause, Paulaner, Drei Kronen 1308, Hopfenstube/Furst Carl และ Erlinger.

คราฟต์เบียร์ในประเทศจีน
การสร้างสรรค์คราฟต์เบียร์ในประเทศจีนเกิดขึ้นครั้งแรกราวปี 2531-2540 ในกรุงปักกิ่ง โดยถือเป็นครั้งแรกที่กิจการผับขนาดเล็กได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงยุคทศวรรษที่ 80s เป็นรูปแบบเครือข่าย ซึ่งมี 2 สาขาในเมืองเดียว ภายใต้การดูแลของเจ้าของกิจการชาวฮ่องกง ร้านดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัยและกลุ่มคนวัยแรกเริ่มทำงาน อย่างไรก็ตาม ร้านทั้งสองต้องถูกปิดไปกระทันหัน หลังจากข่าวลือเกี่ยวกับการถือครองสิทธิเจ้าของร้านทำให้ร้านล้มเหลวในการเจรจาทางธุรกิจในประเทศเกาหลีเหนือ

ในปี 2551 โรงงานผลิตคราฟต์เบียร์แห่งแรกในประเทศจีนเกิดขึ้นจากการก่อตั้งของบริษัท Boxing Cat Brewery ในนครเซียงไฮ้ และต่อมาในปี 2553 กรุงปักกิ่งก็มีการเปิดโรงงานคราฟต์เบียร์แห่งแรกตามมา โดยเป็นของบริษัท Great Leap Brewing ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา มีโรงงานคราฟต์เบียร์เปิดขึ้นทั่วประเทศจีนมากกว่า 200 แห่ง โดยส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็กประเภท Nanobreweries และ Brewpubs ขณะที่บางแห่งก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้าน CBAC ขณะนี้ก็มีสมาชิกเป็นโรงงานคราฟต์เบียร์กว่า 40 แห่ง

Currently, the national production volume of beer in China is decreasing for the past 4 years. The volume of 2016 is 4,506 (Million kiloliters). The top 5 provinces in terms of production volume are Shandong, Guangdong, Henan, Zhejiang, Liaoning.

China’s German Beer Fantasy
Throughout the 90s and 00s was also home to numerous Bavarian concepts of traditional German style beer in both Beijing and Shanghai. Led by Paulaner, Beijing was also home to Chinese concepts like Gold Hansen as well as other Bavarian brands that lacked the corporate infrastructure of companies like Hofbrauhaus and Paulaner, namely Drei Kronen 1308, Hopfenstube/Furst Carl and Erlinger.

Craft Beer in China
China’s first craft beer development was firstly found during 1988-1997 in Beijing. It was the first time that a small brewpub economy was developed in the late 1980s with a chain that had two locations in the city. Opened by a Hong Kong restauranteur, the chains were once popular with college aged and young professionals. However, both location were then closed abruptly after rumors of the ownership having failed business dealings in North Korea.

In 2008, China’s first craft brewery was opened with the founding of Boxing Cat Brewery in Shanghai. The in 2010, Beijing saw its first craft brewery opened – Great Leap Brewing. And in the last seven years, over 200 craft breweries have opened up all across China. Some of those breweries have already grown quite large, but the majority still remain nanobreweries and brewpubs. The CBAC boasts a membership of over 40 craft breweries.

What is Craft Beer in China?
When speaking of a definition of Craft Beer, each place mostly will have their own. China does, too. In China, Craft beer means any brewery that only produces and sells up to 200,000 HL of beer per year. Also, the business can never have investments from other large alcoholic beverage companies. For operation wises, the business shall produce beer in a brewery or factory, and sell beer in brewpubs, restaurants, bars, etc. as well as must have your own personal brand and company name, be officially registered with the government, and be able to issue receipts.

Relocated

เสริมประสิทธิภาพการผลิตเบียร์ในพื้นที่ที่จำกัด

โดย: Matthias Pohl
Krones AG

Full article TH-EN

“Et bliev nix wie et wor” แปลว่า ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่มันเป็น หนึ่งใน 7 สำนวนภาษาท้องถิ่น ที่นำมาใช้ในโรงเบียร์แห่งเมืองโคโลญจน์ โรงเบียร์ Privatbrauerei Gaffel โรงเบียร์ที่ตั้งอยู่ด้านในของเมืองที่ขณะนี้มีกำลังการผลิตไม่เพียงพอ และกำลังต้องการการขยายพื้นที่อย่างเร่งด่วน แต่เปล่าประโยชน์ที่จะพูดถึง เนื่องจากโรงเบียร์ที่เป็นธุรกิจแบบครอบครัวแห่งนี้ ต้องการบริหารอย่างเป็นอิสระและเน้นการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น กัฟเฟลจึงเลือกหนทางที่มั่นคงเพื่อเดินไปสู่อนาคตที่สดใส ด้วยการรวมโรงเบียร์สองโรงให้เป็นหนึ่งเดียว

เมื่อไม่นานมานี้ Privatbrauerei Gaffel ยังคงดำเนินการผลิตในโรงเบียร์ทั้งสองโรง ตั้งแต่ปี 2451 เบียร์สูตรดั้งเดิม อย่าง “กัฟเฟล คอลช” ถูกผลิตขึ้นในโรงเบียร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางด้านในของเมืองโคโลญจน์ ใกล้กับโบสถ์โคโลญจน์ และในปี 2541 กัฟเฟลได้ซื้อกิจการ Richmodis-Brauerei ในชานเมืองของพอร์ช เกรมเบิรก์โกเวน ที่ซึ่งใช้สำหรับบรรจุ Kegs และ Pittermännchen (ถังเบียร์คอลชขนาด 10 ลิตร) ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอำเภอบิลเดอร์สตอเชน (Bilderstöckchen ในเมืองโคโลญจน์

แต่เป็นที่ชัดเจนว่าการตั้งอยู่ด้านในของเมืองนำมาซึ่งปัญหา อย่างแรกคือปัญหาการจัดส่งวัตถุดิบและของต่างๆ รวมไปถึงการจราจรของรถบรรทุกถังเบียร์ ที่ทำให้การขนส่งเป็นเรื่องยากและท้าทายอย่างมาก อย่างที่สอง ปัญหาเรื่องพื้นที่ที่มีจำกัด เพราะความจริงโรงงานที่ตั้งอยู่กลางถนน ใกล้กับสถานีหลักของเมืองโคโลญจน์ ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการขยายพื้นที่ กัฟเฟลทำการผลิตเบียร์เกือบครึ่งล้านเฮกโตลิตรต่อปี บนพื้นที่เพียง 2,000 ตารางเมตร

“Et bliev nix wie et wor” (“Nothing stays as it was”): that’s the wording of Article 5 in the Kölsch Constitution, a compilation of eleven idioms in the local dialect. And that also applies to the Cologne-based brewery Privatbrauerei Gaffel: capacities in its previous inner-city facility were exhausted – more space was urgently required. Needless to say, the family-managed brewery wanted to keep its independence and continue to produce efficiently. So Gaffel took a bold step towards an auspicious future – and merged its two breweries into a single plant.

It was not so very long ago that Privatbrauerei Gaffel was still operating two breweries: since 1908, it had been brewing its traditional Gaffel-Kölsch right in the heart of Cologne’s inner city, just a stone’s throw away from Cologne Cathedral. And in 1998, it then took over the Richmodis-Brauerei in the suburb of Porz-Gremberghoven. Kegs and “Pittermännchen” (10-litre Kölsch barrels), moreover, are filled in Cologne’s northern Bilderstöckchen district.

But it was precisely this inner-city location that entailed a few problems which are firstly supplying the brewery with raw materials and expendables, as well as tanker-truck traffic, grew into a progressively more difficult logistical challenge, and secondly the space constraints entailed by the fact that the building complex was located in the middle of a street near Cologne’s main station did not permit any expansion. On a mere 2,000 square metres, Gaffel was brewing almost half a million hectolitres a year.

Flavonoids and Anti-diabetes Property

สารฟลาโวนอยด์กับการต้านโรคเบาหวาน

โดย: ณัฐณิชา พรหมยศ
Natnicha Promyos
M.Sc. Student in Food and Nutritional Toxicology Program
Institute of Nutrition, Mahidol University
natnicha.prm@student.mahidol.ac.th

ดร.อุทัยวรรณ สุทธิศันสนีย์
Uthaiwan Suttisansanee, Ph.D.
Lecturer/Researcher
Institute of Nutrition, Mahidol University
uthaiwan.sut@mahidol.ac.th

Full article TH-EN

โรคเบาหวานคือหนึ่งในโรคเรื้อรังที่ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการ หรือไม่สามารถตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินที่ถูกสร้างออกมาได้ โรคเบาหวานจึงจัดเป็นภัยคุกคามสุขภาพของประชาชน เพราะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคแทรกซ้อนเรื้อรังอื่นๆ ตามมา อันทำให้มีอัตราการป่วยและการตายที่สูงขึ้น

โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 โรคเบาหวานชนิดที่ 1 จะเกี่ยวข้องกับเซลล์ไอส์เลตถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ ขณะที่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายยังคงผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ตามปกติ เพียงแต่ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

โรคเบาหวานสามารถป้องกันได้โดยการชะลอการดูดซึมของน้ำตาลรีดิวซ์ของร่างกาย ผ่านการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส และเอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส ซึ่งเป็นเอนไซม์หลักของการย่อยคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาล เอนไซม์ทั้งสองนี้มีหน้าที่ย่อยสลายพันธะแอลฟา-1-4-ไกลโคซิดิกของพอลิแซคคาไรด์ (แป้ง) ให้มีโมเลกุลเล็กลงก่อนดูดซึมเข้าผนังเซลล์ของลำไส้เล็ก ดังนั้น การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส และเอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดสจึงสามารถชะลอการย่อยคาร์โบไฮเดรตและการดูดซึมกลูโคสได้ สารยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส และเอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส สามารถรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือเบาหวานได้ โดยการชะลอการย่อยคาร์โบไฮเดรตและการดูดซึมกลูโคส ซึ่งวิธีรักษาคือ การได้รับยาในปริมาณที่เหมาะสม แต่การใช้ยารักษาเหล่านั้นมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ และการตอบสนองต่อยาของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากอาหารและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีคุณสมบัติในการต้านโรคเบาหวานจึงเป็นที่น่าสนใจในเชิงของการป้องกันมากกว่าการรักษาโรค

Diabetes is a chronic disease, in which body cannot produce enough insulin or respond to the insulin. Diabetes is a public health problem, because it can cause acute or chronic complications that increase morbidity and mortality rates.

Diabetes can be divided into two groups, type 1 and type 2. The former involves immune system, which destroys islet cells that produce insulin in pancreas. As a result, insulin production is terminated. The latter involves the body that continues to produce insulin, but it does not function properly due to insulin resistance.

Diabetes can be prevented by reducing sugar absorption through inhibition of α-amylase and α-glucosidase, the key enzymes that degrade carbohydrate into sugar. Both digestive enzymes can hydrolyze α-1-4-glycosidic linkage on polysaccharide (starch), producing smaller sugar units, which are absorbed into intestine wall. Thus, the inhibition of α-amylase and α-glucosidase can control diabetes by delaying carbohydrate degradation and glucose absorption. The α-amylase and α-glucosidase inhibitors can treat hyperglycemia or diabetes by slowing carbohydrates degradation and glucose absorption. Several medicinal treatments are proposed with effective dose; however, these synthetic drugs pay the prices as being expensive, containing severe side effects and possessing individual dependent response. Therefore, natural products from functional foods and bioactive compounds with potential anti-diabetic properties are currently of interest in term of prevention rather than treatment.

The Most Recent Food Regulations have been Enforced Notification of the Ministry of Public Health (No.377) B.E.2559 (2016) Re: Designation of Requirements and Conditions for Import Food with Risk from Bovine Spongiform Encephalopathy

กฎระเบียบด้านอาหารล่าสุดที่มีผลบังคับใช้
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 377) พ.ศ.2559 เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการนำเข้าอาหารที่มีความเสี่ยงจากโรควัวบ้า

โดย: สำนักอาหาร
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข
food@fda.moph.go.th

By: Bureau of Food
Food and Drug Administration, Ministry of Public Health
food@fda.moph.go.th

Full article TH-EN

โรควัวบ้า (Bovine Spongiform Encephalopathy; BSE) เป็นโรคที่เกิดในสัตว์เคี้ยวเอื้องจำพวกโค มีความเกี่ยวโยงกับโรคที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของระบบประสาทส่วนกลางในมนุษย์ที่เรียกว่า variant Creutzfeldt-Jakob Disease (vCJD) โดยผู้ป่วยจะแสดงอาการทางระบบประสาทและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา โรควัวบ้ามีระยะการฟักตัวของโรคนาน ทำให้ไม่สามารถสังเกตอาการป่วยของโคในระยะแรกของการติดเชื้อได้ ประกอบกับสารก่อโรควัวบ้าที่เรียกว่า พริออนโปรตีน (Prion protein) มีความทนทานสูงมาก ดังนั้น การแช่แข็ง ความแห้ง ความร้อนที่อุณหภูมิหุงต้ม การพาสเจอร์ไรซ์ หรือสเตอริไรซ์ จึงไม่สามารถทำลายพริออนโปรตีนของโรคนี้ได้ ประเทศต่างๆ จึงต้องมีมาตรการเพื่อป้องกันหรือยับยั้งการปนเปื้อนของสารก่อโรควัวบ้าไม่ให้เข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร

ปัจจุบันองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health หรือ Office International des Épizooties; OIE) ได้ปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนดสุขภาพสัตว์บก (Terrestrial Animal Health Code) โดยในส่วนที่เกี่ยวกับโรควัวบ้ามีเกณฑ์การประเมินความเสี่ยงเพื่อแบ่งกลุ่มประเทศหรือพื้นที่ตามความเสี่ยงของการเกิดโรควัวบ้า เงื่อนไขการนำเข้าและนำผ่านผลผลิตและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโค ซึ่งองค์การการค้าโลก (World Trade Organization; WTO) ให้การยอมรับหลักเกณฑ์และข้อกำหนดที่ OIE จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นมาตรฐานสากลในด้านการค้าระหว่างประเทศเพื่อให้อาหารที่มีต้นกำเนิดจากสัตว์มีความปลอดภัยในการบริโภค ดังนั้น เพื่อการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคให้เหมาะสมและสอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบันตลอดจนแนวทางสากล กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 377) พ.ศ.2559 เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการนำเข้าอาหารที่มีความเสี่ยงโรควัวบ้า ซึ่งประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่องดังกล่าว มีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้

Bovine Spongiform Encephalopathy (BSE), also known as mad cow disease is a fatal neurological disease in adult cattle. The disease link to variant Creutzfeldt-Jakob Disease (vCJD) in human, which degenerates of the brain resulting in severe and fatal neurological signs and symptoms. There is currently uncurable. BSE has a long incubation period, which makes it difficult to discover the infection at early stage. Moreover, prion protein – the cause behind the disease – has high toleration against several food processing methods, e.g. freezing, drying and high temperature treatment such as pasteurization and sterilization. Hence, many countries have set up regulations to prevent contamination of mad cow disease in the food chain.

Nowadays, the World Organization for Animal Health (Office International des Épizooties; OIE) has revised version of the Terrestrial Animal Health Code includes risk assessment criteria for BSE by region, and import and export condition for fresh meat and meat products from cattle. This criteria is also recognized by the World Trade Organization (WTO) as the international standard for consumer protection when trading products. In order to protect consumer, the Ministry of Public Health has issued Notification of the Ministry of Public Health (No.377) B.E.2559 (2016) RE: Designation of Requirements and Conditions for Import Food with Risk from Bovine Spongiform Encephalopathy (BSE). The detail of the notification are summarized as follow;

Vietnam Fruits Market

ตลาดผลไม้ของประเทศเวียดนาม

โดย: สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงฮานอย
Royal Thai Embassy, Hanoi, Vietnam

Full article TH-EN

การส่งออกผลไม้ในไตรมาสแรกของปี 2560
จากสถิติของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท และกรมศุลกากรเวียดนาม พบว่า ในไตรมาสแรกของปี 2560 มูลค่าการส่งออกผลไม้ของเวียดนามสูงถึง 700.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกผลไม้เวียดนามในปี 2560 จะสูงถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ตลาดส่งออกผลไม้สำคัญของเวียดนามในไตรมาสแรกของปี 2560 ได้แก่ จีน โดยมีมูลค่าการส่งออก 511.9 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 73.1 ของมูลค่าการส่งออกผลไม้รวมของเวียดนาม รองมาเป็นสหรัฐอเมริกา (สัดส่วนร้อยละ 3.54) ญี่ปุ่น (สัดส่วนร้อยละ 3.01) เกาหลีใต้ (สัดส่วนร้อยละ
3.14) ไทย (สัดส่วนร้อยละ 2.1) ฯลฯ

จะเห็นว่าเวียดนามส่งออกผลไม้ไปยังเกือบ 60 ประเทศทั่วโลก ผลไม้บางชนิด เช่น ลิ้นจี่ เงาะ แก้วมังกร มะม่วง ลำไย ฯลฯ ได้มีการวางจำหน่ายในตลาดที่มีมาตรฐานสูง เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเมื่อช่วงต้นปี 2560 ผลไม้เวียดนามสามารถเข้าสู่ตลาดใหม่ ได้แก่ มะม่วง ซึ่งเข้าตลาดออสเตรเลีย แก้วมังกร เข้าตลาดไต้หวัน ลำไย และลิ้นจี่ เข้าตลาดไทย ภาคการเกษตรเวียดนามจะผลักดันการเจรจาเพื่อส่งออกลูกน้ำนมและมะม่วงไปยังสหรัฐอเมริกา แก้วมังกรสีม่วงไปยังญี่ปุ่น และลูกน้ำนม ลำไย ลิ้นจี่ เงาะ ไปยังเกาหลีใต้ ทั้งนี้ การส่งออกผลไม้เวียดนามถือว่าเติบโตดีในช่วงเวลาที่ผ่านมาเนื่องจากการส่งเสริมการค้าและการหาตลาดใหม่อย่างต่อเนื่องของภาคการเกษตร การเจรจายกเลิกอุปสรรคทางการค้าต่างๆ รวมไปถึงการควบคุมคุณภาพของผลไม้ให้ได้มาตรฐานส่งออก

Fruit Exports in the First Quarter of 2016
According to the statistic from the Ministry of Agriculture and Rural Development, and Customs Department in Vietnam, in the first quarter of this year, fruits export was valued US$700.6 million or an increase by 29.8 percent compared to the same period last year. It is expected that Vietnam’s fruits export value will reach US$3 billion this year.

In the first quarter of the year, major export markets for Vietnam fruits are included China with export value of US$577.9 million, accounting by 73.1 percent from total export value; following by the United States (accounted at 3.54 percent), South Korea (3.14), Japan (3.01 percent), and Thailand (2.1 percent) and etc.

Vietnam ships fruits to more than 60 countries worldwide. Some kind of fruits such as Lychee, rambutan, dragon fruit, mango, and longan can be distributed high standard market such as to the United States, Australia, Japan, and South Korea. Early this year, many Vietnam fruits can penetrate to new markets i.e. mango to Australia, dragon fruit to Taiwan, and longan and lychee to Thailand. Vietnam farm sector has also supported en export of cainito and mango to the United States, purple dragon fruit to Japan, and cainito, longan, lychee, and rambutan to South Korea. Vietnam fruits export have flourishing during the past period due to its strong marketing promotion and measure to penetrate new market continuously, while its government has negotiated for reducing trade barriers as well as increase production control standard, in particular for fruits export.