Global trends in the fruit and vegetable industry

ทิศทางของอุตสาหกรรมผักและผลไม้ทั่วโลก

Translated By:      Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

Full article (TH-EN)

Mr.Bryan Silbermann ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมการตลาดผลิตผลสดทางการเกษตร หรือ Produce Marketing Association (PMA) และ Mr.Michael Worthington ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PMA แห่งประเทศออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ได้นำเสนอทิศทางและแนวโน้มสำคัญในอุตสาหกรรมผลิตผลสดทางการเกษตรทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ ภายในงาน PMA NZ/AU Fresh Connections ครั้งล่าสุดซึ่งจัดขึ้นที่เมืองบริสเบน

 

“ในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในเทรนด์ที่มีความโดดเด่นได้เกิดขึ้นโดย Intermarché ในประเทศฝรั่งเศส โดยเป็นการขายสินค้าที่มีคุณภาพรองลงมา นำมารีแบรนด์ใหม่ แล้วขายให้กับลูกค้าในราคาที่ย่อมเยาลง การตลาดในลักษณะนี้ได้ขยายตัวไปทั่วโลกโดยเป็นความตกลงร่วมกันของทั้งผู้ค้าปลีกและซัพพลายเออร์” Mr.Silbermann กล่าว และอธิบายว่านี่เป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการเปลี่ยนจากสินค้าที่ตกเกรดมาเป็นโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี

 

ด้าน Mr. Worthington กล่าวถึงภาพรวมของตลาดในออสเตรเลียว่า “เราเองก็อยู่ในกระแสนี้เช่นกัน ซึ่งอาจจะเป็นการจับกระแสได้รวดเร็วพอๆ กับตลาดอื่นๆ ทั่วโลก” โดยผู้ค้าปลีกทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต่างก็พยายามที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ จริงๆ แล้วเมื่อปีก่อน ทาง Harris Farm Markets ก็เป็นผู้ชนะเลิศได้รับรางวัลนักการตลาดแห่งปีจากแคมเปญ ‘เลือกที่บกพร่อง’ หรือ ‘Imperfect Piks’ และพวกเขายังสามารถขยายพื้นที่ในชั้นวางสินค้าได้เพิ่มเป็นสองเท่าในรอบปีที่ผ่านมาอีกด้วย

 

“ในปี 2557 มีการลงทุนในด้านเทคโนโลยีการเกษตรถึง 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2558 ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เป็น 4,600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีทุกภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศญี่ปุ่นมีการนำเสนอ ‘ผักพูดได้’ หรือ ‘talking vegetables’ ในร้านขายของชำ โดยเสียงของเกษตรกรจะดังขึ้นเมื่อลูกค้าเอื้อมมือไปจับสินค้า”

 

ด้าน Mr.Worthington ได้อธิบายถึงสถานการณ์ในออสเตรเลียว่า เทคโนโลยีแบบนี้จะทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมต้นน้ำมากกว่าปลายน้ำ (เช่น ในส่วนของค้าปลีก) ด้วยเพราะแรงงานเป็นหนึ่งในปัญหาหลัก “เรายังได้เห็นการลงทุนจำนวนมากในการปลูกพืชแบบ Protected cropping ผมคิดว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า เราจะได้เห็นโลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้อย่างไร”

 

สิ่งที่กล่าวมานี้เชื่อมโยงกับเรื่องความยั่งยืน ซึ่งเป็นเทรนด์ที่สำคัญและเข้ามามีบทบาทมากขึ้น Mr.Silbermann กล่าวว่า “ความยั่งยืนส่งผลต่อการให้คำนิยามใหม่ของคำว่า ‘สุขภาพ’ สมัยก่อนเราให้คำนิยามกับสุขภาพของผลิตผลสดทางการเกษตร โดยมองว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับโภชนาการล้วนๆ แต่ปัจจุบันผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวต่างสรรหาการบริโภคเพื่อทำให้มีสุขภาพดีและมองแบบองค์รวมมากขึ้น พวกเขาพิจารณาที่ตัวสินค้าว่าดีต่อสุขภาพหรือเปล่า และยังมองไปถึงผลกระทบของกระบวนการผลิตและการกระจายสินค้าว่ารักษ์โลกด้วยหรือไม่ สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของอาหารที่พวกเขาจะเลือกซื้อและเลือกกิน”

 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความตระหนักในเรื่องสุขภาพ ส่งผลให้ปัจจุบันผักและผลไม้กลายเป็นทางเลือกใหม่ของอาหารมื้อว่างในทั่วทุกภูมิภาค “ผลไม้กลายเป็นอาหารมื้อว่างที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรป เอเชียแปซิฟิก และตะวันออกกลาง/แอฟริกา และติดอันดับ 1 ใน 5 ในสหรัฐอเมริกา ส่วนผักครองตำแหน่งอาหารมื้อว่างที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในเอเชียแปซิฟิกและยุโรป” Mr.Silbermann กล่าว

Ensuring Consumer Safety and Brand Protection

การสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้บริโภคและการปกป้องแบรนด์

By: Mettler-Toledo (Thailand) Limited

Full article (TH-EN)

ความปลอดภัยทางด้านอาหารถือเป็นมาตรฐานที่ผู้ผลิตให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภคว่าสินค้าขนมขบเคี้ยวที่ผลิตออกมานั้นมีคุณภาพดีที่สุดและไร้สิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตราย ซึ่งหากสารปนเปื้อนเหล่านั้นถูกพบโดยผู้บริโภค แบรนด์อาจได้รับความเสียหายเชิงลบจนไม่อาจแก้ไขได้

เน้นความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ
ในการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภคและปกป้องภาพลักษณ์ของแบรนด์ ผู้ผลิตควรใส่ใจคุณภาพในกระบวนการผลิตอย่างจริงจัง ผ่านการวิเคราะห์จุดควบคุมวิกฤติ (CCP) และมาตรการป้องกัน บริษัทยังต้องใส่ใจกระบวนการตรวจจับสิ่งปนเปื้อนเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่ดีที่สุดจะถูกส่งถึงมือผู้บริโภค ผู้บริโภคต้องรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสินค้าที่ส่งถึงมือนั้นมีคุณภาพดีที่สุด

สินค้าต่างชนิดในแพ็คเกจที่แตกต่างกัน
การผลิตแพ็คเกจสินค้าในรูปแบบและขนาดต่างๆ ผู้ผลิตจะต้องมีศักยภาพในการตรวจจับสิ่งปนเปื้อนในสินค้าได้ผ่านอลูมิเนียมฟอยล์ และจะต้องมีเครื่องมือในการเร่งกระบวนการผลิตให้รวดเร็วขึ้นและยังมีความยืดหยุ่นคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลงชนิดของสินค้าได้ ดังนั้น เครื่องตรวจสอบสินค้าที่ผู้ผลิตเลือกใช้จำเป็นจะต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้

เครื่องมือที่ถูกต้อง

เครื่องเอ็กซเรย์รุ่นใหม่1 ซึ่งมีช่องทางการตรวจจับสินค้าหลายช่อง เป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบ โดยสินค้าจากไลน์การผลิตที่มีแพ็คเกจต่างกันสามารถเดินผ่านเครื่องเอ็กซเรย์1 ได้พร้อมกันผ่านช่องตรวจสอบ 2 ช่องที่แยกกัน เครื่องชนิดนี้ยังสามารถตรวจจับและคัดแยกสินค้าที่มีการปนเปื้อนออกจากไลน์การผลิตผ่านทางชุดสายพานที่ทิ้งสินค้าลงมาในถังสินค้าไม่ผ่านเกณฑ์ซึ่งตั้งอยู่ใต้สายพานตรวจสอบ กระบวนการนี้ถูกออกแบบมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยที่มีเพียงบุคลากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น เช่น การประกันคุณภาพที่จะสามารถจัดการกับสินค้าที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ และทำการประเมินในขั้นตอนที่ละเอียดขึ้นต่อไป

นักลงทุนไทยเล็ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษจูไห่”

13 ธันวาคม 2560

“พาณิชย์” แนะนักลงทุนไทย ศึกษาลู่ทางทำการค้าและลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษจูไห่ เพื่อเป็นฐานส่งออกสินค้าเจาะตลาดฮ่องกง มาเก๊า และจีน หลังสะพานเชื่อม 3 เมืองกำลังจะเปิดให้บริการ คาดจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการขนส่งสินค้า และทำให้การกระจายสินค้าทำได้ง่ายขึ้น

นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ศึกษาโอกาสในการเข้าไปทำการค้าและลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษจูไห่ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำจูเจียง โดยพบว่ามีโอกาสในการเข้าไปทำการค้าและลงทุนสูง และอยากจะแนะนำให้นักลงทุนไทยศึกษาโอกาสและลู่ทางในการเข้าไป เพราะขณะนี้นักลงทุนต่างชาติจากประเทศต่างๆ ได้เริ่มมองและให้ความสำคัญกับเมืองนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมองเห็นโอกาส ซึ่งไทยก็ควรที่จะศึกษาและเข้าไป โดยกระทรวงพาณิชย์พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนของไทยที่สนใจ

สาเหตุที่จูไห่เป็นเมืองที่มีอนาคตในด้านการค้าและการลงทุน เนื่องจากขณะนี้จะมีการเปิดสะพานเชื่อม 3 เมืองสำคัญ คือ ฮ่องกง มาเก๊า และจูไห่ ทำให้ระบบการเดินทางและการขนส่งสินค้าทำได้ดีขึ้น เพราะจากเดิมจะเป็นการขนส่งผ่านท่าเรือขนส่งขนาดใหญ่ ไม่มีระบบขนส่งทางรถยนต์ แต่เมื่อมีการเชื่อมสะพาน จะทำให้การขนส่งทางรถยนต์ขยายตัวขึ้น และกระจายสินค้าไปยัง 3 เมืองได้ดีขึ้น รวมถึงกระจายเข้าสู่ตลาดจีน

“อนาคต เมืองจูไห่ จะเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจเทียบเท่าได้กับเมืองกวางโจวและเมืองเซินเจิ้น หากไทยเข้าไปทำการค้าและการลงทุนก่อน ก็จะตักตวงผลประโยชน์ได้ก่อน โดยผู้ที่สนใจเข้าไป สามารถเข้ามาปรึกษาได้กับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่พร้อมจะสนับสนุนผู้ประกอบการในการออกไปค้าขายและออกไปลงทุนในต่างประเทศ” นางจันทิรากล่าว

สำหรับสะพานเชื่อม 3 เมือง ฮ่องกง มาเก๊า จูไห่ เริ่มเปิดให้บริการเมื่อเดือน พ.ย. 2560 โดยสะพานมีความยาวทั้งหมด 55 กิโลเมตรและถูกแบ่งออกเป็น 4 ช่วง โดยช่วงที่ 1 เป็นสะพานจากจูไห่ไปถึงสามแยกไปมาเก๊าหรือฮ่องกง ช่วงที่ 2 เป็นสะพานจากมาเก๊าไปถึงสามแยกไปจูไห่หรือฮ่องกง ช่วงที่ 3 เป็นสะพานที่แยกช่องทางการเดินทางไปฮ่องกง มาเก๊า จูไห่ และช่วงที่ 4 เป็นสะพานจากฮ่องกงไปถึงสามแยกไปจูไห่หรือมาเก๊า ซึ่งจากการทดลองเดินทางสรุปได้ว่าจากจูไห่เดินทางไปถึงฮ่องกงใช้เวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้น

www.ditp.go.th

นวัตกรรมด้านคมนาคมก้าวไกลเพื่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจ 4.0

กรุงเทพฯ –

สำนักงานวิจัยทางเรือของโลกแห่งสหรัฐเยี่ยมชมและมอบทุนวิจัยทางเรือแก่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. โดย รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.ต้อนรับ ดร.ซิมิน เฟง ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ สำนักงานวิจัยทางเรือของโลกแห่งสหรัฐอเมริกา (The U.S. Office of Naval Research Global) หรือ ONR กองทัพเรือแห่งสหรัฐอเมริกาในโอกาสเดินทางมาเยี่ยมชมคณะวิศวกรรมศาสตร์ และหารือแนวทางความร่วมมือ พร้อมมอบทุนวิจัยแก่ ศาสตราจารย์ ดร.โมไนย ไกรฤกษ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. พร้อมด้วย รศ.ดร.ชูวงค์ พงศ์เจริญพาณิชย์ รองคณบดี ดร.รัชนี กุลยานนท์ ผู้ช่วยคณบดี และ รศ.ดร.ยุทธพงษ์ รังสรรค์เสรี หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโทรคมนาคม

รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. กล่าวว่า องค์กร ONR หรือสำนักงานวิจัยทางเรือของโลกแห่งสหรัฐ ก่อตั้งในปี 1946 ดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการเดินเรือในอนาคต มีผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยีและวิศวกรเพื่อดำเนินงานใน 5 ทวีปทั่วโลกและประสานความร่วมมือกับนานาประเทศ นับเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยและองค์กร ONR ได้ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างใกล้ชิดเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

www.engineer.kmitl.ac.th

NFI เปิดตัวแอพพลิเคชัน Thai Halal ช่องทางตรวจสอบและโปรโมทผลิตภัณฑ์ฮาลาล

กรุงเทพฯ, 21 ธันวาคม 2560 –

สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดให้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน Thai Halal ได้แล้ววันนี้ทั้งบน iOS และ Android ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ฮาลาลได้ทันทีเพียงกรอกเลขที่รับรองฮาลาล หรือสแกนคิวอาร์โค้ด/บาร์โค้ดของผลิตภัณฑ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งเป็นช่องทางใหม่ให้ผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิต โดยเฉพาะเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชนสามารถนำผลิตภัณฑ์ของตนเองที่ผ่านการรับรองฮาลาลมาโปรโมทผ่านแอพพลิเคชันนี้ได้อีกด้วย โดยใช้ฐานข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสถาบันอาหาร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาฐานข้อมูลสนับสนุนการพัฒนาฮาลาลไทย ต่อยอดจากการจัดทำเว็บไซต์ www.thaihalalfoods.com ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกด้านอาหารฮาลาลมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าภายใต้การดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ซึ่งนอกจากจะมีการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการกลุ่มหลักคือเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชุนเพื่อเข้าสู่ระบบมาตรฐานอุตสาหกรรมฮาลาลแล้ว สถาบันอาหารยังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพการตลาดฮาลาลไทยสู่สากล โดยก่อนหน้านี้ได้พัฒนาฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนการพัฒนาฮาลาลไทยผ่านการจัดทำเว็บไซต์ www.thaihalalfoods.com เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกด้านอาหารฮาลาลให้บริการแก่ภาคธุรกิจและผู้ที่สนใจ อาทิ ข้อมูลสถิติการค้า รายงาน บทวิเคราะห์ งานวิจัยตลาด หลักการและแนวทางปฏิบัติการใช้เครื่องหมายรับรองฮาลาล ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การเป็นผู้ประสานงานให้ผู้ประกอบการที่ต้องการขอรับรองฮาลาลกับสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ด้านอุตสาหกรรมของประเทศในอนาคต

“วันนี้เราได้พัฒนาแอพพลิเคชัน Thai Halal ขึ้นมา ทั้งระบบ iOS และ Android เพื่อให้ผู้บริโภคที่ดาวน์โหลดมาใช้ สามารถตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ฮาลาลได้ทันทีว่าได้รับการรับรองฮาลาลจริงหรือไม่ โดยการใส่ข้อมูลเลขที่รับรองฮาลาล หรือสแกนบาร์โค้ด หรือคิวอาร์โค้ดของผลิตภัณฑ์ จะปรากฎข้อมูลวันที่ขอรับรอง และวันหมดอายุ หากข้อมูลผลิตภัณฑ์ยังไม่เข้าระบบจะแจ้งให้ตรวจสอบเพิ่มเติมที่สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ Thai Halal ยังเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชนสามารถนำผลิตภัณฑ์ของตนเองที่ผ่านการรับรองฮาลาลมาโปรโมทผ่านแอพพลิเคชันนี้ได้อีกด้วย โดยกรอกข้อมูลใบรับรองฮาลาล ข้อมูลผลิตภัณฑ์ และข้อมูลผู้ผลิต รอการตรวจสอบและอนุมัติตามลำดับ ทั้งนี้จะใช้ฐานข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสถาบันอาหาร ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันอาหาร โทร. 02-422-8688 ต่อ 3203, 3204”

อนึ่ง สถานการณ์การผลิตรวมทั้งการรับรองอาหารฮาลาลของไทยนั้น พบว่าผู้ประกอบการมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับตลาดฮาลาลมากขึ้น โดยฝ่ายกิจการฮาลาล สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยได้ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่ได้รับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลกว่า 5,000 บริษัท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีสถานประกอบการในประเทศที่ขอรับการรับรองฮาลาล 2,188 ราย หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40 ต่อปี ในภาพรวมส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนรวมกันสูงถึงร้อยละ 90 (ผู้ผลิตอาหารร้อยละ 72 ร้านอาหารร้อยละ 13 โรงเชือดและชำแหละเนื้อสัตว์ร้อยละ 3 และผู้นำเข้าอาหารร้อยละ 2 โดยประมาณในปี 2554) ส่วนที่เหลืออื่นๆ อีกร้อยละ 10 เป็นผู้ประกอบการที่ผลิตและนำเข้าสินค้าอุปโภค เช่น ผู้ผลิตเครื่องสำอาง ยาสีฟัน ยาหรือสมุนไพร เป็นต้น ปัจจุบันคาดว่ามีผลิตภัณฑ์ที่ขอรับการรับรองฮาลาลสูงกว่า 100,000 รายการ เพิ่มขึ้นจาก 64,588 รายการในปี 2554 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อปีโดยประมาณ

ตลาดเอเชียเป็นตลาดอาหารฮาลาลที่มีศักยภาพในการส่งออกสูงสุด จากสัดส่วนประชากรชาวมุสลิมที่มีอยู่ค่อนข้างสูงร้อยละ 32.6 ของจำนวนประชากรทั้งหมดในภูมิภาค โดยมาเลเซียได้ตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางฮาลาลของโลก (Global Halal Hub) ภายในปี 2563 โดยมีแนวทางการพัฒนาธุรกิจฮาลาลของประเทศแบบองค์รวม ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ประกอบกับการสร้างระบบนิเวศฮาลาล (Halal Ecosystem) ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ของประเทศอย่างเต็มที่ ทั้งการจัดทำมาตรฐานฮาลาล การให้สิทธิประโยชน์และแรงจูงใจต่างๆ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับผู้ประกอบการในอุทยานฮาลาล (Halal Park) และผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ฮาลาลหรือที่เกี่ยวข้อง การลดหย่อนภาษีสองเท่าสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพื่อขอการรับรองมาตรฐานฮาลาล เป็นต้น

www.nfi.or.th

ไบโอเวกกี้ แบรนด์ผักแปรรูปสัญชาติไทย ธุรกิจเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ด้วย Thaitrade.com

ความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดของ “ไบโอเวกกี้” แบรนด์ผักแปรรูปสัญชาติไทย หลังจากเข้าร่วมเป็นผู้ขายบนเว็บไซต์ Thaitrade.com ด้วยการวางแผนการทำงานอย่างรอบคอบ และมีตลาดออนไลน์ที่สนับสนุนผู้ประกอบการไทย ส่งผลให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างเหนือความคาดหมาย

คุณวิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เปิดเผยว่า แม้การเริ่มต้นทำธุรกิจด้านปิโตรเลียมจะไม่เกี่ยวข้องกับด้านอาหาร แต่ด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการปรับประยุกต์ นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้กับสินค้าประเภทอาหาร ประกอบกับสินค้าเกษตรที่ล้นตลาด ทำให้เลือกที่จะแปรรูปพืชผักให้สามารถเก็บรักษาได้ยาวนานขึ้น โดยใช้เครื่องจักรถนอมอาหาร ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแปรรูปอาหารแห้ง ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่คิดค้นโดยผู้บริหารที่เป็นนักวิศวกร นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการอาหาร โดยใช้ระยะเวลาคิดค้นกว่า 5 – 6 ปี

จากนั้นจึงได้จัดตั้ง บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เพื่อรับซื้อพืชผลทางการเกษตร ซึ่งจุดเริ่มต้นของธุรกิจเกิดจากการเริ่มทดลองแปรรูปพืช ผัก ผลไม้มาเรื่อยๆ จึงตัดสินใจนำผักชนิดต่างๆ จากมูลนิธิโครงการหลวงมาแปรรูป โดยการอบแห้งแล้วผ่านกระบวนการจนกลายมาเป็นผักอัดเม็ด ซึ่งเป็นวิถีการถนอมอาหารที่เก็บรักษาไว้ได้นานถึง 2 ปี เพื่อให้ผู้บริโภคได้กินผักด้วยวิธีที่สะดวก อีกทั้งยังได้รับคุณประโยชน์ของสารอาหารจากผักสดในรูปแบบเม็ด โดยส่วนผสมในผักอัดเม็ดประกอบไปด้วยพืชพันธุ์ทั้ง 12 ชนิด ได้แก่ พริกหวาน แครอท มะเขือเทศ หัวหอมญี่ปุ่น ฟักทองญี่ปุ่น กะหล่ำม่วง บีทรูท ผักโขม เฟนเนล เซอเลอรี่ พาร์สเล่ย์ และบร็อคโคลินี ซึ่งล้วนเป็นผักจากมูลนิธิโครงการหลวงที่มีไฟเบอร์และสารอาหารสูง โดยหลังจากนำมาแปรรูปเป็นผักอัดเม็ดแล้ว สินค้าจะต้องคงคุณค่าของสารอาหาร และมีคุณประโยชน์ใกล้เคียงกับผักสดมากที่สุด

ต่อมาในปี 2555 ไบโอเวกกี้ ได้รับรางวัลอันดับ 1 จาก 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมด้านกระบวนการผลิตสินค้าในโครงการ “ไบโอเวกกี้ วิตามินรวมจากผักเมืองหนาว” ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการหาช่องทางทางด้านการตลาดของบริษัท แต่ด้วยข้อจำกัดทางการเงินจากการเป็นธุรกิจ SMEs ขนาดเล็ก ส่งผลให้การประชาสัมพันธ์ทางสื่อกระแสหลักเป็นไปอย่างยากลำบาก บริษัทจึงเน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยใช้กลยุทธ์แบบบอกต่อ (Word of Mouth)

จนกระทั่งได้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ Thaitrade.com โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเนื่องจากต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศที่รับประทานผักอัดเม็ดเพื่อสุขภาพ โดย Thaitrade.com เป็นเว็บไซต์ B2B E-Marketplace อีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารกับชาวต่างชาติเป็นหลัก และมองว่า Thaitrade.com มีความน่าเชื่อถือโดยเฉพาะการทำการค้ากับชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้ลูกค้ามั่นใจในการสั่งซื้อสินค้า เพราะได้รับการรับรองความน่าเชื่อถือโดยรัฐบาลไทย ซึ่งล่าสุดในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีลูกค้าต่างประเทศติดต่อเพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ในประเทศเกาหลี โดยมีปัจจัยด้านความเชื่อมั่นในการติดต่อ และความน่าสนใจของข้อมูลสินค้าบนเว็บไซต์ Thaitrade.com

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น 1) จะต้องเข้าใจในสินค้าของตัวเอง มีการวางแผนเป้าหมายสูงสุดของสินค้า เช่นเดียวกับสินค้าผักอัดเม็ดเรามีเป้าหมายที่จะทำการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันสามารถส่งออกสินค้าผักอัดเม็ดไปยังแถบอาหรับ และแถบยุโรป โดยได้ลูกค้ารายใหม่บนเว็บไซต์ Thaitrade.com 2) ต้องมีการเตรียมความพร้อมเรื่องมาตรฐานโรงงานการผลิต GMP และ HACCP ซึ่งช่วยสร้างความพร้อมให้กับผู้ประกอบการในการจัดจำหน่ายสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศ 3) ต้องมีความใส่ใจ โดยเฉพาะเรื่องอาหารซึ่งต้องคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นอันดับแรก ส่วนผสมจะต้องสะอาด ปลอดภัยและสร้างคุณประโยชน์ให้กับผู้บริโภค อย่างผักอัดเม็ดจะต้องไร้สารเคมี ปลอดภัย รู้แหล่งที่มา ก่อนผลิตสินค้าต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อให้สินค้าเป็นไปตามกระบวนการมาตรฐานการผลิต และ 4) ต้องมีทุนในการลงโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เป็นที่รู้จัก

ปัจจุบันผักอัดเม็ดแบรนด์ไบโอเวกกี้ มีช่องทางการจัดจำหน่ายตามร้านค้าชั้นนำ อาทิ เช่น Se-ed Book, Watsons, 7-11, Family Mart, Golden Place และร้านค้าชั้นนำอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังต่างประเทศทั้งแถบอาหรับ ยุโรป และเอเชีย โดยการได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าผ่านเว็บไซต์ Thaitrade.com ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ และรับการรับรองความน่าเชื่อถือโดยรัฐบาลไทย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครเป็นสมาชิกผู้ขายบนเว็บไซต์ Thaitrade.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ DITP Call Center 1169 หรือ อีเมล์ contact@thaitrade.com

www.thaitrade.com

สถาบันอาหาร ทำ MOU กับคณะกรรมการกลางอิสลามฯ ส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล

25 ธันวาคม 2560 –

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในประเทศไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้เป็นที่ยอมรับจากกลุ่มประเทศมุสลิมและนานาประเทศ โดยจะร่วมกันพัฒนาบุคลากรด้านวิชาการ ด้านมาตรฐานกิจการฮาลาล และด้านการวิจัยและพัฒนา

ทั้งนี้ ขอบเขตความร่วมมือดังกล่าว ได้แก่ การเผยแพร่ความรู้ ข้อมูล ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับกิจการและมาตรฐานฮาลาลแก่ผู้ประกอบการและผู้บริโภค การสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในด้านเทคโนโลยีการผลิต ระบบบริหารจัดการองค์กร การวิเคราะห์ตรวจสอบ เพื่อยกระดับการผลิตและการบริการอาหารให้สอดคล้องตามหลักการศาสนาอิสลาม และเทียบเท่ามาตรฐานสากล การเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ฮาลาลของประเทศ การตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ฮาลาลทางด้านเคมี ชีวภาพ และกายภาพ ตามความสามารถของห้องปฏิบัติการของสถาบันอาหาร และร่วมกันพัฒนาแนวทางการตรวจวิเคราะห์ด้วยวิธีใหม่ที่เห็นชอบร่วมกัน เป็นต้น

www.nfi.or.th

U Share V Care Jan 2018

U Share V Care เดือนมกราคม 2561

ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care ลุ้นรับของกำนัล Flashlights – Make Your Life Shine! จำนวน 2 รางวัล และ Bluetooth Speakers – Happy Sound in a Box! จำนวน 3 รางวัล

ลุ้นรางวัลกับเราได้ตามลิงก์ด้านล่างเลย อย่าลืมกรอกให้ครบ… นะคะ

http://www.foodfocusthailand.com/click.php?id=Eblast0118_USHARE

U Share V Care Dec 2017

U Share V Care เดือนธันวาคม 2560 ลุ้นรับบัตรกำนัลเซ็นทรัล มูลค่า 500บาท 2 รางวัล

ลุ้นรางวัลกับเราได้ตามลิงก์ด้านล่างเลย อย่าลืมกรอกให้ครบ… นะคะ

https://goo.gl/Gp4UYk