“โฟร์โมสต์” จับมือ “นักโภชนาการ” ชวนคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ทำความรู้จัก “กรดอะมิโนจำเป็น และโอเมก้า 369” สารอาหารตัวช่วยสำคัญเพื่อพัฒนาการสมองของลูกน้อยให้เติบโตสมวัย

เพราะ “สมอง” เป็นอวัยวะสำคัญที่บรรจุเอากลไกในการควบคุมร่างกายไว้อย่างมหาศาล การทำงานของร่างกายทุกอย่างในตัวเรามาจากการทำงานของสมอง และทราบหรือไม่ว่า? สมองมีการทำงานตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุด คือ ช่วงหลังคลอดจนถึง 6 ปีแรก และ “โภชนาการ” คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมให้สมองของเด็กสามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพตามวัย ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ “โฟร์โมสต์” จึงได้จับมือ “นักโภชนาการ” แนะเทคนิคการเลือกอาหาร พร้อมชวนทำความรู้จักสารอาหารสำคัญ “กรดอะมิโนจำเป็น และโอเมก้า 369” ที่จะช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยให้มีพัฒนาการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

คุณพิมจันทร์ วิมุกตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพราะหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของโฟร์โมสต์ที่ยึดถือมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี คือ การมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์น้ำนมโคคุณภาพสูงมาตรฐานโกลด์สแตนดาร์ดของเนเธอร์แลนด์ ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ครอบครัวคนไทยแข็งแรงเต็มร้อย ซึ่งจากการสำรวจทางการตลาดพบว่า ในทุกๆ ปีอัตราการบริโภคนมของคนไทยขยายตัวสูงขึ้นทั้งในกลุ่มเด็ก และกลุ่มผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้โฟร์โมสต์จึงได้มีการคิดค้นสูตรและออกผลิตภัณฑ์นมอย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ำเรื่องสารอาหารจากน้ำนมที่ครบถ้วน และเหมาะสมกับผู้บริโภคในทุกช่วงวัย จนสามารถครองความเป็นแบรนด์ชั้นนำในใจผู้บริโภคชาวไทยเสมอมา”

โดยล่าสุดในโอกาสที่ “โฟร์โมสต์” ก้าวสู่ปีที่ 60 จึงได้เปิดตัว “โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369” ผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มยูเอชทีที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญเพื่อพัฒนาการสมองของลูกน้อย ทั้ง “โอเมก้า 369 (Omega 369)” กรดไขมันจำเป็นชนิดไม่อิ่มตัวที่ช่วยในเรื่องของการสร้างเครือข่ายใยประสาทในสมองของเด็ก ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางสติปัญญาและสมาธิที่ดี และ “กรดอะมิโนจำเป็น (Amino Acid) ทั้ง 9 ชนิด” ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น ซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที โดยจะช่วยในเรื่องของการควบคุมกลไกภายในร่างกาย ทั้งระบบภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญไขมัน การเติบโตของระบบประสาทและความจำ การทำงานของกล้ามเนื้อและกระดูก เป็นต้น ให้สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ

ด้าน คุณแววตา เอกชาวนา นักกำหนดอาหารวิชาชีพ กล่าวว่า “อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่าสมองของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ จนถึง 6 ขวบแรกนั้นเจริญเติบโตรวดเร็วมาก ทั้งขนาดและกระบวนการทำงานของสมอง ซึ่งตั้งแต่ 1-6 ขวบ สมองจะเติบโตถึง 90% และเซลล์ในสมองจะสร้างการเชื่อมโยงเข้าหากันทีละเล็กละน้อย เปรียบเสมือนการวางโครงสร้างอาคาร ที่ค่อยๆ ต่อเติมไปทีละส่วน ฉะนั้นหากสมองเติบโตได้สมบูรณ์จะส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กได้อย่างมหาศาล อาทิ เด็กในวัยเพียง 1-6 ขวบนั้น สามารถเรียนรู้ภาษาพร้อมๆ กันได้ถึง 7 ภาษา ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าที่จริงสมองเด็กเรียนรู้ภาษาพูดได้ถึง 5,000 ภาษาเลยทีเดียว”

“นม” นับว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าสำหรับเด็กและคนทุกวัย และเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญมาก มีปริมาณโปรตีนสูงและเป็นโปรตีนคุณภาพดีไม่ด้อยไปกว่าโปรตีนที่ได้รับจาก ไข่ เนื้อสัตว์ และถั่ว นอกจากนี้ในน้ำนมยังอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย อาทิ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส แลคโตส วิตามินเอ วิตามินบีสอง วิตามินซี น้ำ และเกลือแร่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ โอเมก้า 369 (Omega 369) และกรดอะมิโนจำเป็น (Amino Acid) ซึ่งจากผลวิจัยพบว่าในนมแม่จะมีกรดอะมิโนครบถ้วนต่อเด็กมากที่สุด ตามมาด้วยนมโคและนมแพะ ส่วนนมที่มีโปรตีนน้อยที่สุดคือนมจากพืช แต่อย่างไรก็ตามเด็กในวัยกำลังเจริญเติบโตควรรับประทานอาหารอย่างเพียงพอ ให้ครบทั้ง 5 หมู่ เมื่อเห็นว่าลูกกินได้น้อย คุณพ่อคุณแม่ควรจัดอาหารระหว่างมื้อมาเพิ่ม แต่ต้องไม่บ่อยจนรบกวนอาหารมื้อหลัก และอาหารต้องไม่มีรสชาติหวานจัด เพราะจะทำให้ลูกไม่อยากอาหารได้ อย่าติดสินบนเพื่อให้เด็กยอมกินอาหาร จะทำให้เด็กติดนิสัยและไม่ยอมกินเมื่อไม่มีของมาแลกเปลี่ยน และพยายามอย่าบังคับ ขู่เข็ญ ให้เด็กกินอาหาร เพราะจะทำให้รู้สึกไม่ดีต่อการกินและไม่อยากกิน จะกลายเป็นคนกินยากไปแทน

www.foremostforlife.com

พาณิชย์เดินหน้าส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 จัดงาน Thailand Innovation and Design Expo 2017

14 กันยายน 2560 – กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ในงาน Thailand Innovation and Design Expo 2017 (T.I.D.E. 2017) งานแสดงสินค้านวัตกรรมและการออกแบบครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย เผยเป็นงานที่มีความสำคัญต่อผู้ผลิตสินค้าและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งในปัจจุบันจะต้องผลิตสินค้าด้วยนวัตกรรมความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความแปลกใหม่น่าสนใจและเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ให้เป็นที่ยอมรับและเกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในระดับสากล และเพื่อสร้างความยั่งยืนของสินค้าและบริการผ่านความเชื่อมั่นจากนานาประเทศ โดยในปี 2560 มีผลงานด้านนวัตกรรมและการออกแบบมาร่วมจัดแสดงกว่า 1,000 ชิ้นงาน

นอกจากนี้ยังมีส่วนจัดแสดงผลงาน Startup พื้นที่ค้าปลีก พื้นที่เจรจาธุรกิจ นิทรรศการของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่ได้รวบรวมเอาผลงานที่ได้รับรางวัล และโครงการที่โดดเด่น อาทิ Design Excellence Award (DEmark), Thailand Trust Mark (T – Mark) และที่สำคัญเป็นไฮไลท์คืองานสัมนาให้ความรู้โดย MICHAEL I. WAITZE ผู้เชี่ยวชาญด้าน startup และวริน ธนทวี แห่ง Cordesign ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ Klank ลำโพงดีไซน์ ที่ได้ไปรับรางวัลชนะเลิศในระดับนานาชาติ และวิทยากรอีกหลายท่าน ซึ่งจะมาให้ความรู้ตลอดการจัดงาน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน Thailand Innovation and Design Expo 2017 (T.I.D.E. 2017) ได้กล่าวว่า “การจัดงานครั้งนี้ถือว่าเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แผนพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ที่ต้องการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้เป็นที่ยอมรับและเกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในระดับสากล เพื่อสร้างความยั่งยืนของสินค้าและบริการผ่านความเชื่อมั่นจากนานาประเทศ ในมาตรฐานการผลิตและเป็นที่ยอมรับในเอกลักษณ์อันโดดเด่น ด้วยการเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเสริมศักยภาพสินค้าและบริการของไทยให้เป็นที่ต้องการในตลาดโลก

เป้าหมายของการดำเนินยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 คือการขับเคลื่อน 5 กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย 1) กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ 2) กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการ 3) กลุ่มเครื่องมือ อุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม 4)กลุ่มดิจิตอล เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อ และบังคับอุปกรณ์ต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว 5) กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปรับเปลี่ยนปัญหาให้เป็นศักยภาพ และโอกาสในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้เป็นรูปธรรม อาทิ การเปลี่ยนจากปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) ให้เป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ (Active Aging Society) การพัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ การยกระดับเมือง ให้เป็น smart city เป็นต้น เพราะคนไทยเรามีวัฒนธรรมและรากฐานของความเป็นนักสร้างสรรค์อยู่ในตัวอยู่แล้ว สิ่งที่เราจำเป็นต้องเร่งหาทางตอบโจทย์ความต้องการในยุคปัจจุบันและอนาคตให้ได้ โดยการใส่ความคิดสร้างสรรค์ ดีไซน์ เทคโนโลยีเข้าไปในผลิตภัณฑ์และงานบริการ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถหลุดจากกับดักรายได้ปานกลางให้ได้

ในส่วนของงาน T.I.D.E 2017 ในปีนี้ได้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ซึ่งภายในงานได้รวบรวมผลงานนวัตกรรมและงานออกแบบที่โดดเด่นจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนกว่า 1,000 ราย เพื่อจัดแสดงผลงานด้านการออกแบบ ผลงานด้านนวัตกรรมของไทย ผลงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผลงานที่ได้รับรางวัล/เครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนด้านนวัตกรรมและการออกแบบทั่วประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพด้านการออกแบบและนวัตกรรมของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ เป็นเวทีในการเชื่อมโยงผู้ผลิต นักออกแบบ และผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมกับนักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออก อันจะทำให้เกิดโอกาสในการขยายธุรกิจและขยายตลาดสินค้าและบริการที่มีการออกแบบและนวัตกรรม

พร้อมทั้งได้เชิญผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ จากยุโรปหลายประเทศมาแบ่งปันความรู้ในการสัมมนา European Innovation : Lessons for Thailand และ Co–Create the Future : Building a culture of Innovation เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของภาคเอกชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับทิศทางของแนวโน้มในการผลิตสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรม และการออกแบบสำหรับตลาดต่างประเทศ” นายสนธิรัตน์ กล่าว

โดยในส่วนของกิจกรรมภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจคือการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) และการบริการให้คำปรึกษาด้านการออกแบบและสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม และที่เป็นไฮไลท์ก็คือ MICHAEL I. WAITZE ผู้เชี่ยวชาญด้าน startup และ วริน ธนทวี แห่ง Cordesign ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ Klank ลำโพงดีไซน์ ซึ่งไปรับรางวัลชนะเลิศในระดับนานาชาติ และวิทยากรอีกหลายท่าน ที่จะเดินทางมาให้ความรู้ตลอดการจัดงาน

www.thailandinnodesign.com

สสว.- สถาบันอาหาร จับคู่ธุรกิจให้คลัสเตอร์มะพร้าวที่เวียดนาม

เวียดนาม, 2 ตุลาคม 2560 – สสว. ร่วมกับสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จัดเจรจาจับคู่ธุรกิจ SME คลัสเตอร์มะพร้าวจาก 26 เครือข่ายของไทยกับเทรดเดอร์ 47 บริษัทที่เวียดนาม ชี้น้ำมันมะพร้าวและเจลน้ำมันมะพร้าวในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้รับความนิยมสูง เผยเวียดนามขาดแคลนโรงงานแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์มะพร้าว แนะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญลงทุนเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออก
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เผยความคืบหน้าล่าสุด ภายใต้การดำเนินการโครงการสนับสนุนเครือข่าย SME ปี 2560 ในกลุ่มอุตสาหกรรมมะพร้าว ตามที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อย (สสว.) ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้นำคณะผู้ประกอบการสมาชิกคลัสเตอร์มะพร้าวที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 26 ราย จากหลายจังหวัด อาทิ หนองคาย ร้อยเอ็ด นครนายก นครสวรรค์ เลย นครราชสีมา สระบุรี ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฏร์ธานี พังงา สตูล และปัตตานี เป็นต้น เดินทางไปประเทศเวียดนาม ณ นครโฮจิมินห์ เพื่อศึกษาโอกาสการลงทุนในเขตอุตสาหกรรมจังหวัดบิงห์เยือง สำรวจตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ รวมถึงตลาดท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ตลาดเบนถั่น (Ben Thanh) พร้อมเยี่ยมชมบริษัท BETRIMEX ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปมะพร้าวที่มีชื่อเสียง และเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับบริษัทนำเข้าและค้าส่งของเวียดนามรวม 47 บริษัท
“น้ำมันมะพร้าว และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวของไทยในรูปของเจลน้ำมันมะพร้าวในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ดูแลผิวและเส้นผม ได้รับความสนใจค่อนข้างมาก นอกจากเทรดเดอร์จะจำหน่ายในประเทศเวียดนามแล้ว ยังส่งออกไปตลาดจีนและประเทศอื่นๆ ด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างรอรวบรวมคำสั่งซื้อ คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท เมื่อรวมกับการจับคู่ธุรกิจที่จีน ไต้หวัน และตลาดในประเทศก่อนหน้านี้ ประเมินว่าจะมียอดสั่งซื้อรวมกันไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาทในปีแรก” นายยงวุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้เวียดนามจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลูกและส่งออกมะพร้าวมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่มูลค่าการส่งออกมะพร้าวของเวียดนามต่ำกว่า 3 – 5 เท่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เนื่องจากอุตสาหกรรมแปรรูปมะพร้าวของเวียดนามเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงยังมีไม่มาก จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารจะใช้ความได้เปรียบจากแหล่งวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์ ค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่าไทย นโยบายของรัฐบาลเวียดนามที่ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA ที่เวียดนามได้ลงนามไว้ พิจารณามาตั้งโรงงานแปรรูปมะพร้าวในเวียดนามได้อีกทางหนึ่ง นอกจากส่งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไทยเข้าไปจำหน่ายเท่านั้น

ดีเคเอสเอช ประเทศไทย เน้นให้การเรียนรู้เกี่ยวกับทักษะการใช้ชีวิตแก่เด็กนักเรียน ใน จ.สุราษฏ์ธานี ผ่านกิจกรรม ‘วันเล่น’

27 กันยายน 2560, กรุงเทพฯ – เด็กนักเรียนจำนวน 90 คน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการทำงานร่วมกัน การจัดการด้านอารมณ์ การตั้งเป้าหมาย รวมทั้งทักษะการใช้ชีวิตอื่น ๆ ผ่านกิจกรรม “วันเล่น” หรือ Play Day ซึ่งจัดโดยบริษัทดีเคเอสเอช กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อพัฒนาชีวิตของเด็กไทยภายใต้ธีม “ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449” หลังจากมีการจัดกิจกรรม “วันเล่น” ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ และเชียงใหม่ รวมทั้ง งานเพื่อการกุศล หรือ DKSH Charity Day ณ กรุงเทพมหานคร พนักงานของเรากว่า 11,000 คนและคู่ค้าทางธุรกิจได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่มีประโยชน์นี้อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ

www.dksh.com

เบทาโกรตอกย้ำแนวคิด “เพื่อคุณภาพชีวิต” ประกาศนโยบาย สวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) เพื่อผู้บริโภคมั่นใจ จากสัตว์สุขภาพดี สู่ผู้บริโภคสุขภาพดี

นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือเบทาโกร เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา เบทาโกรให้ความสำคัญและมุ่งมั่นก้าวเป็นผู้นำในเรื่องการผลิตอาหารที่มีคุณภาพสูง (Food Quality) และปลอดภัย (Food Safety) สำหรับผู้บริโภคทุกระดับ “คุณภาพ” แบบเบทาโกร มีความเข้มข้นในระดับที่เรียกว่าถ้าสิ่งนั้นไม่ดีจริง จะไม่ยอมให้ออกสู่ภายนอกไปถึงมือผู้บริโภค (Uncompromising Quality) ซึ่งองค์ประกอบที่ทำให้เกิด Uncompromising Quality มาจาก คนคุณภาพ (Excellent People) โดยเบทาโกร มุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกระดับ ทำให้พนักงานมีความรู้ ความสามารถ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และกระบวนการควบคุมคุณภาพ (Excellent Process) ได้แก่ Betagro Quality Management 24/7 โดย หลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของเครื่องมือการจัดการด้านคุณภาพดังกล่าวนี้ด้วย
ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจปศุสัตว์มาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 40 ปี เบทาโกรได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสายพันธุ์สุกร ซึ่งถือเป็นต้นทางของการผลิตสุกรให้มีคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการผลิต การควบคุมมาตรฐานและคุณภาพ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกๆ ด้าน อีกสิ่งหนึ่งที่เบทาโกรให้ความสำคัญคือการคำนึงถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์ที่ดี โดยมีนโยบายที่ชัดเจน และริเริ่มหลากหลายโครงการที่ยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงและการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีคุณธรรม ครอบคลุมทุกขั้นตอนการผลิต และสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ ได้แก่ การนำหลักสวัสดิภาพสัตว์ขององค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organisation for Animal Health: OIE) มาตรฐานหลักปฏิบัติและกฎระเบียบของสหภาพยุโรป มาประยุกต์ใช้ เป็นต้น รวมถึงให้ความสำคัญดำเนินตามมาตรฐานที่เข้มข้นตามที่ลูกค้ากำหนด นอกจากนี้ ทีมบุคลากรยังประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการอบรมด้านสวัสดิภาพสัตว์จากหลายสถาบันระดับโลก เช่น มหาวิทยาลัยบริสทอล ประเทศอังกฤษ
ปี พ.ศ. 2558 เครือเบทาโกร ได้ร่วมมือกับองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) เป็นรายแรกในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ในโครงการยกระดับสวัสดิภาพสัตว์ รวมถึงลักษณะของสุขภาพสัตว์ที่เกี่ยวข้องในการผลิตสุกรและสัตว์ปีก จากการทำงานร่วมกันตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี ทำให้เบทาโกรตัดสินใจประกาศยกเลิกการเลี้ยงแม่สุกรแบบยืนซองภายหลังคลอดและซองคลอดเป็นรายแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเปลี่ยนมาเป็นระบบการเลี้ยงแบบรวมกลุ่มและคอกคลอด เพื่อให้สุกรในฟาร์มสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ลดภาวะเครียด และสามารถแสดงออกถึงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้มากขึ้น โดยตั้งเป้าครบทุกฟาร์มในเครือฯ ภายในปีพ.ศ.2570 ซึ่งจะมีจำนวนแม่สุกรไม่ต่ำกว่า 250,000 แม่ ได้รับการปรับปรุงด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่ดีขึ้น
“เราเชื่อว่าสัตว์ในฟาร์มควรมีคุณภาพชีวิตที่ดี การเลี้ยงหมูแบบรวมกลุ่ม มีพื้นที่เคลื่อนไหวได้มากขึ้น จะทำให้หมูเครียดน้อยลง ทำให้ลูกสุกรหย่านมมีน้ำหนักที่ดีกว่าการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มอย่างไม่ถูกต้องโดยเฉพาะการเลี้ยงที่หนาแน่นเกินไปหรือเลี้ยงในพื้นที่ที่จำกัดไม่เป็นธรรมชาติ จะส่งผลให้สัตว์เกิดความเครียด พฤติกรรมต่างๆ การทำงานของร่างกาย เช่น ภูมิคุ้มกันและสุขภาพของสัตว์จะแย่ลง มักเป็นต้นเหตุของการใช้ยาปฏิชีวนะในอัตราที่สูง ส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหาร และมีผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค” นายวนัสกล่าว
นางสุภาภรณ์ ลาสต์ ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับเบทาโกรมาในตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เพราะเราเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงการเลี้ยงสุกรให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เบทาโกรมีแนวคิดและมีความมุ่งมั่นในการเลี้ยงสุกร ไม่เพียงให้ได้มารตฐานสากลเท่านั้น แต่ยังให้ความสนใจในการพัฒนาและปรับปรุงการเลี้ยงสุกรให้ได้รับสวัสดิภาพที่ดี ทำให้สุกรมีคุณภาพชีวิตก่อนนำส่งถึงมือผู้บริโภค ดังนั้นจึงเป็นข่าวดีที่เบทาโกรได้ประกาศยกเลิกการเลี้ยงสุกรแบบยืนซองภายหลังคลอด มาเป็นระบบการเลี้ยงแบบกลุ่ม โดยองค์กรฯ เชื่อมั่นว่าเป็นนิมิตหมายอันดีต่ออนาคตของสุกรที่เลี้ยงในระบบฟาร์ม เพราะจะส่งผลทำให้ผู้ประกอบการรายอื่น รวมถึงผู้บริโภคหันมาใส่ใจแหล่งที่มาของเนื้อหมูมากขึ้น นั่นหมายถึงสุกรนับแสนในแต่ละปีจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น
ส่วนองค์กรฯ ก็ได้รณรงค์ให้ผู้บริโภคเข้าใจและหันมาใส่ใจในแหล่งผลิตของเนื้อหมู พร้อมกับรณรงค์ให้ผู้ผลิตเลี้ยงสุกรอย่างมีคุณภาพ ให้ความสำคัญในเรื่องสวัสดิภาพความเป็นอยู่ของสุกร (Raised with Care) รวมถึงกระตุ้นผู้จัดจำหน่ายให้เพิ่มจำนวนและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เนื้อหมูที่ถูกเลี้ยงอย่างมี สวัสดิภาพที่ดีให้แก่ผู้บริโภค เพราะเนื้อหมูที่ดีนั้นมาจากหมูสุขภาพดี

www.betagro.com

Food Pack Asia 2018…Ready for Food Tech 4.0

พร้อมแล้วกับก้าวที่กล้าสู่ยุค Food Tech 4.0

1-4 February 2018 @ BITEC

Full article (TH-EN)

ถึงเวลานับถอยหลังสู่มหกรรมงานแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และ บรรจุภัณฑ์อาหารนานาชาติครั้งที่ 9 หรือ Food Pack Asia 2018 เวทีที่รวมสินค้า บริการ รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีล่าสุด จากเหล่าผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย เครื่องจักรแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องจักรแปรรูปเนื้อสัตว์ เครื่องจักรบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์เบเกอรี่ เครื่องมือเครื่องใช้ในธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และบรรจุภัณฑ์จากแบรนด์ดังระดับโลก ทั้งจากประเทศไทยตลอดจนพาวิลเลียนจากหลากหลายประเทศ พร้อมพบกับกิจกรรมพิเศษมากมาย การเชื่อมโยงเครือข่าย การติดต่อและขยายคู่ค้า และการแสวงหาความรู้จากกูรูแถวหน้าทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติที่จะมาร่วมแชร์ทุกรายละเอียดในมหกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารประจำปีนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ นักธุรกิจและผู้สนใจทั่วไปที่ต้องการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้

กิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่ควรพลาดใน Food Pack Asia 2018 ได้แก่ สัมมนาและการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญจากหลายหลายสถาบันชั้นนำระดับประเทศ เช่น “Digital Transformation กับอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต” จากสถาบันอาหาร “นวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าและยืดอายุผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปในยุค Food Tech 4.0” โดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง “Smart and Green Packaging เทรนด์ใหม่ที่ทั่วโลกจับตา” จากสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย และอีกมากมาย

EEC – A New Flagship for Thailand in Global Stage

ชูธงอีอีซี…นำไทยสู่เวทีโลก

Full article (TH-EN)

โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor; EEC) มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เมื่อญี่ปุ่น จีน รัสเซีย และสิงคโปร์ ต่างให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุนใน EEC เป็นอย่างมาก เพื่อเป็นฐานการผลิตป้อนตลาดเอเชียและตลาดโลก

ญี่ปุ่นแสดงความสนใจอย่างชัดเจนเป็นพิเศษ โดยเมื่อวันที่ 11-13 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ได้มีคณะผู้บริหารระดับสูงและซีอีโอจากบริษัทแม่ รวมทั้งเจโทร ฟูกูโอกะ และนิเคอิ กว่า 570 คน นำโดยนายฮิโรชิเกะ เซโกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ-การค้าและอุตสาหกรรม (METI) ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยมีเป้าหมายหลักเป็นการศึกษาความพร้อมของโครงการ EEC ในภาคตะวันออกของไทย ทางคณะให้ความสนใจลงทุนใน 4 สาขาอุตสาหกรรม คือ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์ การบิน ศูนย์ซ่อมอากาศยาน 2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์ 3. อุตสาหกรรมการแพทย์ การเกษตร อาหาร เป็นต้น 4. อุตสาหกรรมบริการ การค้า ค้าปลีก โลจิสติกส์ เป็นต้น

ความสนใจอย่างกระตือรือร้นของนักลงทุนญี่ปุ่นเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่จีนเปิดเกมรุกในการลงนามทำความตกลงด้านการลงทุนรถไฟความเร็วสูงกับ สปป.ลาว อินโดนีเซีย และประเทศไทย ภายใต้อภิมหาโปรเจคท์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ที่ครอบคลุมไปทั่วโลก ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือระเบียงเศรษฐกิจตามแนวเส้นทางดังกล่าว และจะมาเชื่อมกับระเบียงเศรษฐกิจ EEC เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชาวจีนโพ้นทะเลมากเป็นอันดับ 1 ของโลกจำนวน 9.39 ล้านคน รองลงมาเป็นมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และอินโดนีเซีย จำนวน 6.65, 4.95 และ 2.83 ล้านคน ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจของประเทศไทยที่มีต่อคนจีน

ในอีกด้านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงด้านภาวะโลกร้อนกลับกลายเป็นโอกาสใหม่ที่จะช่วยให้รัสเซียกลายเป็นคู่ค้าสำคัญรายใหม่ของไทย การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือเป็นผลให้เกิดเส้นทางเดินเรือเส้นใหม่ ซึ่งก็คือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของรัสเซีย พาดผ่านขั้วโลกเหนือเชื่อมรัสเซีย-อาเซียนที่ใช้เวลาน้อยลงมากถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับเส้นทางอื่น และไม่ต้องใช้เรือตัดน้ำแข็งนำร่องทำให้ต้นทุนลดลงด้วย ล่าสุดเมื่อกลางปี 2560 บริษัทซอฟคอมฟลอต (Sovcomflot) ของรัสเซียได้ประเดิมเดินเรือในเส้นทางนี้เป็นรายแรกด้วยเรือคริสทอฟ เดอ มาร์เจอรีบรรทุกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มายังเกาหลีใต้

ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจไทย-รัสเซียได้พัฒนามากขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันรัสเซียมีนโยบายหันหน้าสู่ตะวันออก (Turn to the East) ที่ต้องการพัฒนาภาคตะวันออกไกลของรัสเซียเชื่อมโยงกับอาเซียนและเอเชียแปซิฟิกที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ความสนใจของทั้ง 3 ประเทศในการเข้ามาลงทุนในไทยแสดงให้เห็นในแง่มุมหนึ่งว่า พลวัตรของเศรษฐกิจโลกกำลังเคลื่อนตัวสู่อาเซียนและเอเชียมากยิ่งขึ้น โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียได้ระบุว่า GDP ของอาเซียนจะมีสัดส่วนร้อยละ 40 และร้อยละ 52 ของ GDP โลกในปี 2573 และ 2593 ตามลำดับ โดยแนวโน้มดังกล่าวมีความเป็นจริงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจของอาเซียน +4 (รวมญี่ปุ่น จีน อินเดีย และเกาหลีใต้) มีสัดส่วนใน GDP โลกถึงร้อยละ 30 เข้าไปแล้ว

Good Manufacturing Practice

จากกระบวนการผลิตถึงผู้บริโภคอย่างปลอดภัย

By: Material World Co., Ltd.

Full article (TH-EN)

ความเสี่ยงในกระบวนการผลิตเพื่อการบริโภคที่แปรผันตามระบบการจัดการแต่ละองค์กรซึ่งมีความเข้มงวดที่ไม่เหมือนกัน ผู้บริโภคควรจะต้องมั่นใจในกระบวนการผลิตที่ได้รับมาตรฐาน Good Manufacturing Practice (GMP) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ผู้ผลิตสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคควรจะต้องมี

ทำไมถึงต้องมี GMP?

GMP คือ การปฏิบัติที่ดีในการผลิตอาหาร เป็นระบบประกันคุณภาพที่มีการปฏิบัติในการผลิตอาหาร เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และมั่นใจต่อการบริโภค หลักการของ GMP จึงครอบคลุมตั้งแต่สถานที่ตั้งของสถานประกอบการ โครงสร้างอาคาร ระบบการผลิตที่มีความปลอดภัย มีคุณภาพ และได้มาตรฐานทุกขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนการผลิต ระบบควบคุมตั้งแต่วัตถุดิบระหว่างการผลิต การจัดเก็บ การควบคุมคุณภาพ และการขนส่ง มีระบบบันทึกข้อมูล ตรวจสอบและติดตามผลคุณภาพผลิตภัณฑ์ รวมถึงระบบการจัดการที่ดีในเรื่องสุขอนามัย (Sanitation and Hygiene)

นอกจากนี้ GMP ยังเป็นระบบประกันคุณภาพพื้นฐานก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ระบบประกันคุณภาพอื่นๆ ต่อไป เช่น HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) และ ISO 9000 เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจในผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ท้องตลาดทั่วโลก

เราจะพบความเสี่ยงอะไรได้บ้างจากกระบวนการผลิต ปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบต้องคำนึงถึง คือ

1. ความเสี่ยงในกระบวนการผลิต: การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ผลิตควรคำนึงถึง ตั้งแต่การใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานและลดอันตรายจากอุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บขณะทำงาน รวมไปถึงความเป็นสุขอนามัยในพื้นที่การผลิตด้วย

2. ความเสี่ยงหลังจากกระบวนการผลิต: หากเราพูดถึงการจัดการบรรจุภัณฑ์ (Packaging Management) หรือกระบวนการ หรือวิธีการในการดูแล ห่อหุ้มสินค้า เพื่อการขนส่งที่ปลอดภัยไปยังผู้บริโภคคนสุดท้าย ในสภาวะแวดล้อมต่างๆ หรืออาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการขนส่ง ความเสี่ยงที่เราทุกคนอาจจะมองข้ามไป และมองว่าจะต้องลดต้นทุนเพียงอย่างเดียว

ท้ายที่สุดแล้วหากกระบวนการผลิตดี แต่การบริหารจัดการด้านบรรจุภัณฑ์และการขนส่งขาดประสิทธิภาพก็คงยากในการลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นภายใต้ข้อจำกัดของเวลาและต้นทุนรวมที่จะเกิดขึ้นจากความเสียหายในการแข่งขันทางธุรกิจได้

Frozen Bakery Market Forecast for 2018

คาดการณ์แนวโน้มผลิตภัณฑ์เบเกอรี่แช่แข็งปี 2561

Full article (TH-EN)

2-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมทั่วโลกมีการเติบโตขึ้นมาก อันเนื่องมาจากวิถีชีวิตที่รีบเร่งและผู้คนมีความตระหนักเรื่องข้อมูลด้านโภชนาการกันมากขึ้น เป็นผลให้ตลาดเติบโตอย่างมาก และคาดว่าจะยังคงเติบโตต่อไปในอนาคต

ธุรกิจเบเกอรี่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลกจากการที่ผู้บริโภคนิยมเลือกซื้อเบเกอรี่แช่แข็งเนื่องจากมีราคาสมเหตุสมผลกว่าฟาสท์ฟู้ดประเภทอบอื่นๆ โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือและยุโรปยิ่งเห็นความเติบโตอย่างเด่นชัด เบเกอรี่แช่แข็งสามารถเก็บไว้ได้นาน ทั้งยังเป็นทางเลือกที่โดนใจในเรื่องความสะดวกสบายผลิตภัณฑ์เบเกอรี่แช่แข็งจึงยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อไป และเปิดโอกาสให้กับผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ใหม่ๆ ที่มีความพิเศษ และเน้นนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพ

ตลาดเบเกอรี่แช่แข็งทั่วโลกคิดเป็นเกือบร้อยละ 8 ของตลาดอาหารแช่แข็งทั้งหมด และยังคงเฟื่องฟูเนื่องจากมีการพัฒนาที่หลากหลาย เนรมิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนและดีต่อสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริโภคยุคนี้มีความตระหนักเรื่องสุขภาพ ส่งผลให้มีความต้องการส่วนผสมอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น จึงคาดว่าในอนาคตส่วนผสมอาหารระดับพรีเมียมจะช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดเบเกอรี่แช่แข็งได้อย่างแน่นอน

ทาง Research & Market ได้จัดหมวดหมู่ของตลาดทั่วโลกโดยอิงจากประเภทของสินค้า ช่องทางการกระจายสินค้า และลักษณะทางภูมิศาสตร์ โดยประเมินความต้องการของทั้งตลาดโลกและตลาดระดับภูมิภาค รายงานนี้ได้วิเคราะห์ตลาดอย่างครอบคลุม พบว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเนื่องจากผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย โดยฐานพิซซ่าแช่แข็งมีส่วนแบ่งการตลาดถึงร้อยละ 32.2 ของตลาดรวมทั้งหมด ขนมปังแช่แข็งมีส่วนแบ่งเกือบร้อยละ 25.5 ตามมาด้วยเพสทรีแช่แข็ง ร้อยละ 15.5

ยุโรปเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเบเกอรี่แช่แข็ง คาดการณ์กันว่าในช่วงปี 2556-2561 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 6.9 รองลงมาคือ อเมริกาเหนือ ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการอาหารแปรรูปเพิ่มขึ้น และผู้คนจะมีวิถีชีวิตที่รีบเร่ง สำหรับเอเชียแปซิฟิกซึ่งผู้บริโภคเพิ่งจะรู้จักสินค้าเบเกอรี่แช่แข็งได้ไม่นานนักมีการเติบโตอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 7.7 ในช่วงปี 2556-2561 นับเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตสูงที่สุด

อัตราการเติบโตดังกล่าวนี้ เนื่องมาจากความต้องการอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและดีต่อสุขภาพ ตลอดจนความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้น โดยสหรัฐอเมริกาเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจเบเกอรี่แช่แข็ง

Snack Trends Products

แนวโน้มของผลิตภัณฑ์อาหารมื้อว่าง

 Translated By:  Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

Full article (TH-EN) 

ข้อมูลจาก Nutraceuticalsworld ระบุว่า ผู้บริโภคกำลังมองหาคุณสมบัติเชิงบวกของผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว และส่วนผสมอาหารเพียงไม่กี่ชนิด ประหนึ่งว่าง่ายๆ แต่มีคุณค่า

ชาวอเมริกันใส่ใจกับสุขภาพของตนเองมากขึ้น จึงสนใจส่วนผสมในอาหารที่บริโภคว่ามีและไม่มีอะไรบ้าง พวกเขามองหาผลิตภัณฑ์คลีนลาเบล และเริ่มเป็นผู้อ่าน (ฉลาก) ที่ดี โดยอ่านข้อมูลของส่วนผสมอย่างละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น

Darren Seifer กรรมการบริหารของกลุ่มบริษัท NPD ณ พอร์ท วอชิงตัน รัฐนิวยอร์ก กล่าวว่า ผู้คนกำลังมองหาความบริสุทธิ์และความแน่แท้ พวกเขาจะกวาดสายตามองรายการส่วนผสมบนฉลากอย่างรวดเร็ว เพื่อดูว่ามีส่วนผสมอะไรที่ไม่รู้จัก หรือรู้จักแต่ไม่ได้มาจากธรรมชาติบ้าง นั่นเพราะต้องการส่วนผสมอาหารที่เรียบง่ายและคุ้นเคย

 

 เทรนด์โดนๆ ของผลิตภัณฑ์อาหารมื้อว่างเพื่อสุขภาพ

 

⋅แนวคาวๆ เข้ามาเยือน

ปัจจุบันกลุ่มชาวอเมริกันที่ตระหนักในเรื่องสุขภาพต่างหันหลังให้กับความหวานจากน้ำตาล ผู้ผลิตเริ่มรับรู้ความต้องการของผู้บริโภคด้วยการผลิตขนมหวาน ขนมขบเคี้ยว ที่ใช้น้ำตาลในสูตรลดลง และเพิ่มรสเผ็ดหรือมีรสชาติของอาหารคาวมากขึ้น ดังเช่น Kashi นำเสนอขนมขบเคี้ยวในรูปแบบแท่งหรือบาร์ 2 รสชาติ คือ ​Basil White Bean & Olive Oil และ Quinoa Corn & Roasted Pepper ทางด้าน Larabar เปิดตัวบาร์ซูเปอร์ฟู้ดออร์แกนิก มาใน 3 รสชาติเผ็ดร้อน คือ Coconut Kale Cacao, Hazelnut Hemp Cacao และ  Turmeric Ginger Beet

 ‎บริษัทขนาดย่อมลงมาก็ยังหันมาเล่นในตลาดนี้ อย่างเช่น Mediterra นำเสนอผลิตภัณฑ์บาร์หลากหลายรสชาติ ได้แก่ Kale and Pumpkin Seeds, Bell Peppers and Green Olives และ Sundried Tomato and Basil ด้าน Ginger’s Healthy Habits เปิดตัว Veggie trail mix ออกมา 2 รสชาติ เป็นการนำผัก ถั่ว และเมล็ดธัญพืชมาผสมกัน

สำหรับคนรักเนื้อ ทาง Wild Zora นำเสนอ Meat & Veggie Bars หลายรสชาติ เช่น Mediterranean Lamb with Spinach และ Rosemary & Turmeric ส่วน Wilde Boldr มีบาร์ที่ผลิตจากเนื้อวัว เนื้อไก่งวง และเนื้อไก่ ที่ย่างให้สุกอย่างช้าๆ ทำจากส่วนผสมที่หาได้ในครัวของคุณเอง

 

ว่าด้วยผลไม้ล้วนๆ

KIND เปิดตัวผลิตภัณฑ์บาร์ 4 ชนิด ภายใต้ชื่อ Pressed by Kind ซึ่งผลิตจากผลไม้ และยังมีผลิตภัณฑ์ That’s It has That’s It bars ที่เป็นผลไม้ล้วนๆ

Jordan Rost รองประธานฝ่ายข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคแห่ง Nielsen กล่าวว่า แม้ผู้บริโภคจะพยายามหลีกเลี่ยงน้ำตาล แต่น้ำตาลในผลไม้ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไม่มีอะไรที่จะแย่โดยสิ้นเชิง และผู้บริโภคก็ยอมรับว่าผลิตผลสดเป็นแหล่งที่ดีของสารอาหาร

 

ทางเลือกแบบชิพๆ

ผลิตภัณฑ์บาร์ไม่ใช่รูปแบบเดียวของนวัตกรรมขนมขบเคี้ยว ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบแผ่นหรือชิพ (Chip) ตลอดจนรสชาติใหม่ๆ ก็ยังร้อนระอุในเส้นทางของทางเลือกนี้ด้วย อย่างเช่น ป๊อบคอร์นสำเร็จรูป (Pre-popped popcorn) ซึ่งขายดิบขายดีใน 4 ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลของ Nielsen พบว่าในเดือนตุลาคม 2560 มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากปี 2559 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12 ของปีก่อนหน้า

NatureBox นำเสนอ Pop Pops ป๊อบคอร์นที่ทำให้พองบางส่วน มี 2 รสชาติให้เลือก ส่วนแบรนด์ Open Road Snacks ก็เปิดตัว Poplets ซึ่งทางบริษัทกล่าวว่า ส่งมอบความพึงพอใจ และรสชาติเยี่ยมของข้าวโพดที่มีส่วนผสมของไฟเบอร์มากขึ้น และไขมันกับแคลอรีที่ลดลงในเดือนตุลาคม Ips Snack ได้วางจำหน่ายป๊อบคอร์น 2 รสชาติ ในชื่อ Ips Pop ซึ่งเพิ่มเวย์โปรตีนเข้าไปด้วย

ด้วยความห่วงใยในปัญหาสุขภาพอย่างโรคอ้วนและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นแรงผลักดันให้ผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการเลือกซื้ออาหารทานเล่นมากขึ้นด้วย นี่เป็นผลดีที่ทำให้ขนมขบเคี้ยวทางเลือกที่ทำจากถั่วชิกพีได้รับความสนใจMr.Vierhile อธิบาย