Salt Reduction Policy: Opportunities for Healthy Food Products

มาตรการลดเกลือ…โอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ

โดย: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
Kasikorn Research Center

Full article TH-EN

ปัจจุบัน คนไทยบริโภคเกลือต่อวันมากกว่าปริมาณที่ร่างกายต้องการถึง 2 เท่า จนทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง และนำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจำนวนมากตามมา สะท้อนผ่านจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคไตและโรคเบาหวานที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลต่อเนื่องให้งบประมาณการรักษาพยาบาลในปีดังกล่าวเพิ่มขึ้นตามเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 120,000 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์การลดบริโภคเกลือและโซเดียม (พ.ศ.2559-2568) จึงถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้เกิดแนวทางดำเนินงานที่ชัดเจนและสามารถบรรลุเป้าหมายลดปริมาณการบริโภคเกลือลงเฉลี่ยร้อยละ 30 ภายในปี 2568 ตามตัวชี้วัดด้านสุขภาพขององค์การอนามัยโลกได้ โดยที่ผ่านมามีการดำเนินงานไปบ้างแล้ว เช่น การให้ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้ตระหนักถึงโทษของการบริโภคเกลือมากเกินไป พร้อมทั้งนำเสนอวิธีการลดเกลือผ่านเมนูสุขภาพในพื้นที่นำร่องอย่างโรงเรียนและโรงพยาบาล การติดฉลากโภชนาการแบบ GDA (Guideline Daily Amount) ที่แสดงค่าพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม ที่ด้านหน้าบรรจุภัณฑ์

สำหรับมาตรการที่คาดว่าจะนำมาปรับใช้ในอนาคต ได้แก่ การปรับสูตรอาหาร โดยการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการผลิตอาหารปรับปริมาณเกลือที่ใช้ในการปรุงอาหารลง ซึ่งในระยะแรกจะเริ่มในกลุ่มที่มีโซเดียมสูงก่อน คือ อาหารสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส ทั้งนี้ หากไม่สามารถตกลงร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการได้ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะออกกฎหมายควบคุมปริมาณเกลือที่เหมาะสมในอาหารแต่ละชนิด และมาตรการสุดท้ายคือ การเก็บภาษีการใช้เกลือเกินปริมาณที่เหมาะสม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าหากมีการปรับสูตรอาหารด้วยการลดปริมาณการใช้เกลือลงร้อยละ 10 ร่วมกับการใช้สารทดแทนเกลือสำหรับอาหารบางประเภทตามความจำเป็นในกระบวนการผลิต น่าจะมีผลทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการผลิตอาหารที่มีการใช้เกลือในปริมาณสูงของไทยเพิ่มขึ้นจากการใช้สารทดแทนเกลือประมาณร้อยละ 1.4 ต่อปี หรือคิดเป็น 1,500 ล้านบาทต่อปีจากมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมอาหารที่มีเกลือสูงที่มีมูลค่ามากกว่า 107,000 ล้านบาทต่อปี

 

At present, Thais consume salt twice higher than their daily requirement. This is because there are numerous foods containing high levels of salt, including instant foods (noodles, chilled & frozen foods and rice porridge), snacks (shredded fish, potato chips and processed/fried seaweed) and seasonings. Also, Thais love to add condiments into their foods that already have high salt content. A long-term high salt diet can cause hypertension and other NCDs, such as kidney disease, diabetes, heart failures and stroke, thus endangering lives and incurring high medical costs. As a result, government health care spending in 2016 increased by at least THB 120 billion.

This has led the government to implement the Salt and Sodium Reduction Strategy for 2016-2025, with a clear goal of reducing the average salt consumption in Thailand by 30% within 2025 in accordance with the Health Indicator of the World Health Organization (WHO). This strategy includes a public education program concerning the dangers of excessive salt consumption, wherein advices on healthier food choices have been given to schools and hospitals in pilot areas. Moreover, Guideline Daily Amounts (GDA) labeling, which provides guidance on daily energy, sugar, fat and sodium needs, has been made mandatory on five categories of snack.

Measures that are likely to be introduced in the future include food reformation, whereby the government will work with food companies to reduce the salt content in their processed foods. Initially, such an effort will focus on high sodium content foods, such as instant foods and seasonings. If an agreement cannot be reached with food companies, relevant agencies would then introduce regulatory controls on salt content for each food product. Taxes on an excessive salt content might be imposed as a last resort.

KResearch has assessed that if food companies are required to reduce salt by 10%, (replacing it with healthier substitutes), it is expected that their processing costs will increase 1.4% p.a., or THB 1.5 billion p.a., versus the THB 107 billion p.a. in turnover of the food industry using high levels of salt.

 

Industry 4.0 and Thai Food Industry Learn, Cope, and Push in the Right Direction

เปิดแนวคิด Industry 4.0
เรียนรู้ รับ รุก อุตสาหกรรมอาหารไทย

โดย: สถาบันอาหาร
National Food Institute

Full article TH-EN

ฝ่ายวิจัยและข้อมูล สถาบันอาหาร เผยผลการศึกษาวิจัย “เตรียมความพร้อมอุตสาหกรรมอาหารสู่ Industry 4.0” เพื่อทราบระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทยว่าอยู่ในยุคใด และเพื่อประเมินความพร้อมในการก้าวไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยศึกษาเฉพาะอุตสาหกรรมปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน สับปะรด และข้าวโพดหวานกระป๋อง

จากการศึกษาองค์ประกอบในการชี้วัดคุณลักษณะด้านการผลิต อาทิ ประเภทเครื่องจักร/ระบบการผลิต ระบบการควบคุมและสั่งงาน พลังงานที่ใช้ ลักษณะการควบคุม จำนวนแรงงาน ของเสียจากการผลิต เป็นต้น และคุณลักษณะของสินค้า อาทิ รูปแบบสินค้า ปริมาณ ความหลากหลาย คุณภาพ กลุ่มผู้บริโภค เป็นต้น พบว่ามีเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ในระดับอุตสาหกรรมยุค 2.5 นักวิชาการได้ให้คำแนะนำว่าการเข้าสู่ยุค 4.0 ของอุตสาหกรรมอาหารจำเป็นต้องศึกษาความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อเข้าถึงเครื่องจักรและเทคโนโลยี จากนั้นค่อยๆ ปรับปรุงทีละส่วน พัฒนา และต่อยอดให้เป็น Smart Factory นอกจากนี้ต้องศึกษาและติดตามข้อมูลของภาครัฐในการสนับสนุนมาตรการด้านภาษี แหล่งเงินทุน อัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนต่างๆ

คาดกันว่าในปี 2568 Internet of Things ที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมทุกประเภททั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 1.2-3.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะในอาเซียนจะมีการนำ Internet of things และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ซึ่งจะทำกำไรให้กับภาคอุตสาหกรรมได้ราว 25-45 พันล้านเหรียญสหรัฐ

การพัฒนาอุตสาหกรรมเข้าสู่ 4.0 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ร้อยละ 3-5 ขณะที่ต้นทุนการซ่อมบำรุงเครื่องจักรจะลดลงร้อยละ 10-40 การพยากรณ์การผลิตมีความแม่นยำมากขึ้นมากกว่าร้อยละ 85 ระยะเวลาในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดลดลงร้อยละ 20-50 ต้นทุนในการถือครองสต็อคลดลงร้อยละ 20-50 ประสิทธิภาพแรงงานทักษะเพิ่มขึ้นร้อยละ 45-55 อัตราการหยุดทำงานของเครื่องจักรลดลงร้อยละ 30-50 และต้นทุนในการประกันคุณภาพลดลงร้อยละ 10-20

Food Intelligence Center of the National Food Institute revealed the study “Preparing Food Industry towards Industry 4.0” to acknowledge the level of Thai food industry development and assess its readiness to approach towards Industry 4.0. The study focuses on particular industries; canned tuna, canned sardine, canned pineapple, and canned sweet corn.

From the study of components indicating manufacturing characteristics such as machinery/manufacturing system, control and command system, energy consumption, control pattern, number of workers, waste, and product characteristics such as product type, quantity, diversity, quality, and consumers — the research found that the industry remains in 2.5 era. In order to enter into Industry 4.0, academia suggests that the food industry must study the cost-efficient way in accessing machinery and technology. Then, the industry gradually develops little by little and integrates into Smart Factory. Not only that, governmental policies supporting the industry such as tax incentives, fund resources, interest rates, and investment promotion, should be closely monitored.

It is expected that in 2025, the global value of IoT applied into every industry will worth up to USD 1.2-3.7 trillion. Only in ASEAN, the implementation of IoT and new technologies could bring roughly USD 25-45 billion profit to the industry as data on consumer demands are assessed and used in real-time processing planning.

It is found that developing into Industry 4.0 will increase production efficiency by 3-5%, while machinery maintenance could be reduced by 10-40%. Manufacturing predictability accuracy surges more than 85% and the lead time reduces by 20-50%. Inventory cost to be declined by 20-50%, while skilled labour productivity rises by 45-55%. Machinery downtime shrinks by 30-50%, while quality assurance cost decreases by 10-20%.

Food Pack Asia 2018…Another Successful Edition

งานแสดงเทคโนโลยี เครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์นานาชาติ ที่ประสบความสำเร็จต่อเนื่อง 9 ปี
Full article TH-EN

อุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเติบโตอย่างรวดเร็วตลอดหลายปีที่ผ่านมา และทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อประชากรโลกซึ่งมีความต้องการอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยีและนวัตกรรมอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ไม่เพียงตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารและบรรจุภัณฑ์แต่ยังช่วยให้ธุรกิจอาหารและธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการลงทุน และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ งาน Food Pack Asia 2018 ครั้งล่าสุดที่จัดขึ้นที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เมื่อวันที่ 1-4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น
ตลอดระยะเวลา 4 วัน ในงาน Food Pack Asia 2018 มีผู้เข้าชมงานและ ผู้ร่วมออกบูธเป็นจำนวนมาก ส่วประกอบด้วย ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้จัดจำหน่ายในแวดวงอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารและบรรจุภัณฑ์ รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจ ภายใต้ธีมงาน “The Coming Revolution in Food and Beverage Manufacturing” มุ่งส่งเสริมและกระตุ้นผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจให้เกิดมุมมองใหม่ๆรอบด้านเพื่อเพิ่มพูนผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอาหารยุค 4.0 ในงานนี้ ผู้เข้ายี่ยมชมงานยังได้สัมผัสกับหลากหลายเทคโนโลยีใหม่ๆอันทันสมัย และการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพสูงจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายชั้นนำที่มีชื่อเสียง ทั้งจากในประเทศไทยและจากต่างประเทศ ที่บูธและพาวิเลียนนานาชาติภายในงาน มีการจัดแสดง สาธิตและจำหน่ายเครื่องจักรแปรรูปอาหาร เครื่องจักรแปรรูปเนื้อสัตว์ เครื่องจักรการบรรจุ ตลอดจน อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับธุรกิจเบเกอรี่ โรงแรมและภัตตาคาร รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวมากมาย
งาน Food Pack Asia 2019 ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นปีที่ 10 ระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2562 ผู้ที่สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ได้ที่ www.foodpackthailand.com และ www.facebook.com/foodpackasia

Food industry and other related businesses rapidly grow over the past years and become increasingly important to the world’s populations whose demand for food increase constantly. Technology and innovation, perhaps, become the best key to not only answer increasing needs of food processing and packaging industries to best serve such huge demand but also help food and related businesses benefit from investments. And probably, that is the reason for the latest success of Food Pack Asia 2018 held in Bangkok on February 1-4.

During its four days, Food Pack Asia 2018 has drawn a huge crowd of visitors and exhibitors who mainly consisted of food and packaging producers, operators and distributors as well as those who are interested in the business. Under the theme “The Coming Revolution in Food and Beverage Manufacturing”, this year the event focused on promoting food operators and business owners to have a new 360-degree perspective for profit jump in the era of Food Tech 4.0. The visitors could experience innovative technologies and excellent solutions from leading food and packaging producers and distributors, both local and overseas, at the exhibitors’ booths and pavilions. Top-branded food-beverage processing machines, meat processing machines, packaging machines as well as bakery equipment, hospitality and restaurant equipment and kitchenware were in presented and demonstration in the big fair.

For2019, the 10th Food Pack Asia 2019 will come back on 13-16 February at BITEC. For more information, please catch up on www.foodpackthailand.com and www.facebook.com/foodpackasia

On-trend India…Organic foods, Authentic Flavors, Innovation, and Food-tech Startups

เทรนด์ล่ามาแรงในอินเดีย…จับตาอาหารอินทรีย์ กลิ่นรสที่แท้จริง นวัตกรรม และฟู้ดเทคสตาร์ทอัพ

Liat Simha
Marketing Communications Professional Social Media
NutriPR

Translated by: Editorial Team

Full article TH-EN

อินเดีย พยัคฆ์ที่เคยหลับ กำลังตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตลาดเกิดใหม่ที่มีความกระฉับกระเฉงและน่าค้นหา บนพื้นที่ขนาดใหญ่เท่าทวีปที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง ความมุ่งมั่นที่จะผสมผสานประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของขนบธรรมเนียมการปรุงอาหารและเภสัชโภชนศาสตร์ของการประสานเครื่องเทศอันเผ็ดร้อน การปะทะกันของรสชาติและสีสันอันหลากหลาย จนนำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับโลกตะวันตก

เป็นที่ทราบกันดีว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งข้อมูลและตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดอาหารของอินเดียมีดังนี้:

พลังของชาวมิลเลนเนียลส์ – ร้อยละ 60 ของประชากรอินเดียยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว โดยมีประชากรยุคมิลเลนเนียลส์ราว 440 ล้านคน และประชากร เจน Z (ที่เกิดหลังปี 2000) อีก 390 ล้านคน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโตของกำลังซื้อในอนาคต

ร้านอาหาร – เป็นหมวดธุรกิจที่มีจุดยืนพิเศษมากในแง่ของการขยายธุรกิจเพื่อทำกำไรร่วมกัน

อาหารสด – ค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่อหัว (Personal Consumption Expenditure – PCE) ของชาวอินเดียอยู่ที่ราว 1,012 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเพียงแค่ 1 ใน 3 ของ PCE ในประเทศจีน โดยรายจ่ายส่วนใหญ่อยู่ในหมวดอาหารเป็นหลัก โดยเฉพาะอาหารสดที่คิดเป็นถึงร้อยละ 27 ซึ่งถือว่าเยอะมากเมื่อเทียบกับในสหรัฐฯ ที่มีตัวเลขเพียง ร้อยละ 2.7

มังสวิรัติ – ร้อยละ 40 ของประชากรอินเดียเป็นมังสวิรัติ

ขาขึ้นของนม – ตลาดนมในอินเดียตอนนี้มีขนาดอยู่ที่ 60 ล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การแพร่กระจายของโรคอ้วน – ในด้านลบ อินเดียเป็นประเทศที่มีจำนวนเด็กเป็นโรคอ้วนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศจีน โดยการศึกษาล่าสุดระบุว่า เด็กอินเดียถึง 14.4 ล้านคนมีน้ำหนักเกินเกณฑ์

ฟู๊ดเทคสตาร์ตอัพ – อีทีเทคอินเดีย รายงานว่า สตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับอาหารในอินเดียขยายตัวถึงร้อยละ 150 ในปี 2559 แม้ว่าจะมีปัญหาด้านการระดมทุนที่ลดลง

India, the sleeping tiger, is awakening. The on-the-go, emerging market of this fascinating country the size of a continent is full of contradictions, yet poised to bring its ancient history of traditional culinary and nutraceutical remedies encompassing hot spices, a riot of flavors and a rainbow of colors into innovation for the Western world.

It’s a well-known fact that India is one of the fastest growing economies in the world. Here are some key facts and figures from the Indian food market:

The Power of Millennials – 65% of the country’s population are young people. Some 440 million Millennials and 390 million Gen Z (born after 2000) pave the way for constant growth in purchasing power.

Restaurants – This is the category most uniquely positioned for profit-pool expansion

Fresh Foods – India’s personal consumption expenditure (PCE) per capita is just US$1,012—only a third of China’s. Spending is focused on staples; 27% of PCE is fresh food compared to only 2.7% in the US1.

Vegetarians – 40% percentage of the total population is vegetarian.

Milk on the Rise – The size of India’s milk market is now 60 million tons per year – the largest in the world.

Obesity Epidemic – On the downside, India has the second highest number of obese children in the world, after China. According to a recent study, 14.4 million children in the country are carrying excess weight.

Food-tech Startups – Indian food-tech startups grew by 150% in 2016, despite a country-wide funding slowdown, reports the ETtech India report.

Prevention Steps to Effective Pest Management in the Food Industry

ขั้นตอนการป้องกันเพื่อการกำจัดแมลงและสัตว์พาหะอย่างมีประสิทธิภาพ 

ในอุตสาหกรรมอาหาร

By: Cindy Mannes
Executive Director, PPMA
Vice President of Public Affairs, NPMA
Mark “Shep” Sheperdigianis
James E. Sargent, Ph.D.

Full article TH-EN

การจัดการแมลงและสัตว์พาหะต้องปฏิบัติในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งแต่การจัดซื้อวัตถุดิบไปจนถึงการลำเลียงและขนส่งสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้ว และเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้านั้นปราศจากแมลงและสัตว์พาหะผู้ผลิตควรมีวิธีการจัดการแมลงและสัตว์พาหะในทำนองเดียวกับซัพพลายเออร์ โดยซัพพลายเออร์นั้นก็ควรมีแนวทางการปฏิบัติด้านสุขาภิบาลและการควบคุมแมลงและสัตว์พาหะในสินค้าของตนเอง รวมถึงสิ่งของที่เข้ามาจะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดจากแมลงและสัตว์พาหะ

นอกจากนี้วัตถุดิบที่รับเข้ามาควรแยกและตรวจสอบเพื่อหาสัญญาณของการปะปนเข้ามา ในกระบวนการผลิตและบรรจุ สินค้าจะต้องผ่านการตรวจวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมตามระบบ HACCP ด้านรถบรรทุกก็ควรได้รับการตรวจสอบอย่างรอบคอบเกี่ยวกับแมลงและสัตว์พาหะทั้งก่อนที่จะนำสินค้าขึ้นหรือลงและก่อนขนส่งสินค้าไปยังลูกค้า

การกำจัดแมลงและสัตว์พาหะตั้งแต่เริ่มต้นสามารถลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโรคภายในสถานประกอบการได้ โดยแมลงและสัตว์พาหะมักเข้ามาภายในอาคารทางประตูและหน้าต่าง ดังนั้น ประตูอาคารควรซีลด้วยยางกวาดที่ขอบประตูและสามารถปิดเองได้อัตโนมัติ ประตูที่ต้องเปิดตลอด เช่น อุโมงค์โหลดสินค้าควรติดตั้งแผ่นป้องกันฝุ่นหรือม่านแถบพลาสติก อากาศภายในอาคารควรมีทิศทางการไหลออกจากจุดทางเข้าทั้งหมด ซึ่งจะเป็นการทำให้แมลงถูกอากาศดูดออกไปภายนอก พนักงานไม่ควรค้ำยันประตูให้เปิดตลอดเวลาในระหว่างการเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือระหว่างพัก ระบบปรับอากาศอย่างน้อยควรมีมุ้งลวดกันแมลงบินเข้าไป

Proper pest management must be practiced at every step of the food and beverage manufacturing process, from procurement of raw materials to palletizing and shipping the finished product. To assure pest-free products, it also is important to be familiar with pest management practices of suppliers. Suppliers should adhere to their own sanitation and insect control practices, and incoming materials must be inspected thoroughly to ensure they are free from pests.

Raw materials should be segregated and inspected for any sign of infestation. During processing and packaging, the products must pass through internal control points determined by a Hazard Analysis & Critical Control Points (HACCP) program. Trucks should be carefully inspected for pests before packaging or raw materials are unloaded and before product is shipped.

Eliminating entry points for pests can further reduce the risk of pest infestations within a facility. Pests often enter buildings through doors and windows so facility doors should be sealed with door sweeps and be self-closing. Doors that must remain open, such as dock doors, should be fitted with air curtains or plastic strip curtains. Facility airflow should be positive at all entry points, which allows insects to be pushed out. Employees should not prop doors open during a shift or during a break. Makeup air should be filtered so insects are not blown inside.

Consumer Trends Driving Huge Demand for Protein in Thailand

เทรนด์โปรตีนในไทยมาแรง หนุนตลาดผลิตภัณฑ์โปรตีนจากนมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคึกคัก

Hamish Gowans
General Manager, South-East Asia
Fonterra (SEA) Pte. Ltd.
hamish.gowans@fonterra.com

Full article TH-EN

ตลาดผลิตภัณฑ์โปรตีนจากนมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือว่าค่อนข้างใหม่เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่ก็พบว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่ดีและมีความน่าสนใจสำหรับผู้ผลิตส่วนผสมอาหารประเภทโปรตีนสูงอยู่ไม่น้อย โดยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 11.5 ต่อปี ในขณะที่ตลาดทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการเติบโตร้อยละ 6.9 ซึ่งจะเห็นได้ว่าเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์โปรตีนจากนมมีอัตราการเติบโตมากทีเดียว ทั้งนี้พบว่าประเทศไทยเป็นตลาดหลักของผลิตภัณฑ์กลุ่มดังกล่าว รองมาคือ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ตามลำดับ เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีประชากรที่ให้ความสนใจในเรื่องของสุขภาพและการมีสุขภาวะที่ดี สภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น รวมถึงรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ยังให้ความสนใจกับกลุ่มประชากรสูงอายุและส่งเสริมให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีจากการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการตามวัย

ผลิตภัณฑ์โปรตีนสูงในไทยกำลังได้รับความนิยม
เนื่องจากตลาดส่วนผสมอาหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเป็นที่จับตามองของผู้ผลิตส่วนผสมอาหารจากทั่วโลก ซึ่งต่างให้ความเห็นว่าตลาดในภูมิภาคนี้กำลังเติบโตและผู้บริโภคมีความหลากหลาย โดยเฉพาะผู้บริโภคชาวไทยที่ให้การยอมรับและแสวงหาผลิตภัณฑ์โปรตีนสูงมีมากขึ้นอันเนื่องจากความสนใจในการมีสุขภาพดี หรือการสร้างรูปร่างให้ฟิตและเฟิร์มได้สัดส่วน นอกจากนี้พวกเขายังให้ความสนใจเรื่องส่วนผสมอาหารประเภทโปรตีนที่มาจากธรรมชาติ (Clean label) มากขึ้นด้วย

Dairy protein market in Asia Pacific is relatively new, compared to the U.S. and Europe. However, positive growth rate is perceived, and the trend proves attractive to high protein food manufacturers. In Asia Pacific, market for dairy products with high proteins grows 11.5% year on year, while the global market worth USD20 million and expands at the speed of 6.9%. Noticeably, the market value for dairy proteins in Asia Pacific is considerably seeing prominent growth. It is also found that Thailand is the main market for the products, followed by Indonesia and Singapore, as the population of the named countries are concerned with health and well-being. With the improving economic climate and increasing income, their quality of life is improving. Not only that, the government of these countries also keep elderly population in mind, and encourage them to consume beneficial and nutritious food for good health.

High Protein Products Gaining Reputation in Thailand
As Asia Pacific’s food ingredient market is being watched by food manufacturers from around the globe, many agree that this market is continually growing with diversity of consumers. Thai consumers, particularly, are seeking more of high protein products due to health conscious and fit-and-firm body image trends. Moreover, they also keen to check on protein ingredients from clean label products.

Application for Maximizing Process Efficiency

การประยุกต์ใช้แอพพลิเคชัน เพื่อประสิทธิภาพการผผลิตสูงสุด
Thammanoon Tripetchr
Managing Director
Harn Engineering Solutions Pcl.

Full article TH-EN

ดิจิทัลเทคโนโลยี และ Industry 4.0 กำลังปฏิรูปในหลายแง่มุมของโลกที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของ Industry 4.0 คือการผสานรวมกันของระบบอุปกรณ์และกระบวนการผลิตของโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ที่ก่อให้เกิดสินค้าหลากหลาย และมีเทคโนโลยีต่างๆ ให้เลือกใช้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อเป็นการตัดสินใจลงทุนคุ้มค่าในระยะยาว (Life-time value) และสิ่งสำคัญคือ จะต้องก่อให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพต่อคนและเวลา
ในหลายๆ กระบวนการผลิตอัตโนมัติมักจะเป็นกระบวนการที่เป็นอิสระต่อกัน แต่เทคโนโลยี loT หรือ ดิจิทัลเทคโนโลยีทำให้ระบบเหล่านี้เชื่อมต่อกันและสื่อสารถึงกัน และเมื่อนำมาเชื่อมต่อกับระบบควบคุมรวมของโรงงานที่จะเชื่อมต่อทุกๆ ส่วนของโรงงาน หรือจากหลายโรงงานเข้าด้วยกัน ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตก็จะเป็นกระบวนการทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ดิจิทัลเทคโนโลยีจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่เครื่องและอุปกรณ์ต้องรองรับการสื่อสารกับ ERP หรือระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ภายนอกได้

ปัจจุบัน มีแอพพลิเคชันที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมา1 ที่สามารถสื่อสารจากศูนย์บริการของบริษัทกับเครื่องผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ส่วนผู้ใช้จะมีแอพพลิเคชันที่แสดงสถานะบนอุปกรณ์ต่างๆ ได้เช่น มือถือ แท็บเล็ต โน๊ตบุ๊ค แสดงสถานะเครื่องที่ติดตั้งใช้งานอยู่ภายในโรงงานมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร มีข้อความแจ้งเตือนอะไรบ้างหรือไม่ วัสดุสิ้นเปลืองต้องเปลี่ยนในอีกกี่ชั่วโมงข้างหน้าและในส่วนของทีมบริการก็จะเห็นข้อมูลจากแพลตฟอร์มเดียวกัน ดังนั้น ผู้ใช้ บริษัท และวิศวกรภาคสนามจะได้รับข้อมูลพร้อมกันและเหมือนๆ กัน อันก่อให้เกิดความรวดเร็วและความชัดเจนของข้อมูล

Digital technology – Industry 4.0 is revolutionizing many aspects of the world we live in today. One of the key elements of Industry 4.0 is the integration of factory equipment, systems and processes to increase production efficiency and widen the range of products and technologies to choose from. Owners have to decide for suitable technologies. More importantly, efficient labor and time costs must be presented. It is a comprehensive analysis aiming at customer’s benefits.

Multiple automated manufacturing processes often evolve in silos, but the Internet of Things (IoT) demands that these systems communicate together and with plant-wide control systems and connect all parts of the factory together and collectively by internet to operate efficient business in the future, the priority is digital technology; devices and equipment distributed by the company must be ready to connect with company ERP or external system and equipment.

Today, there is an application which is newly developed1 to communicate from the company’s HQ to machines in the field as well as users and service team. Users will have an application that shows the status on devices such as mobile phone, tablet, and notebook, allowing them to check the equipment efficiency, warning messages, and hours left for next consumable change. The field engineer, on the other hand, will see the information from the same platform. Users, company, and field engineer will receive the same information, thus resulting in speed and transparency of the data.

SIAL CHINA 2018 เปิดประตูเจาะตลาดอาหารจีน

กรุงเทพฯ, 28 กุมภาพันธุ์ 2561 –

คอมเอ็กซ์โปเซียม บินตรงจัดงานแถลงข่าว SIAL China 2018 งานแสดงสินค้าด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและอันดับ 4 ของโลก ระหว่าง 16-18 พฤษภาคมนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้า Shanghai New International Expo Centre เขตผู่ตง นครเซี่ยงไฮ้ ตั้งเป้าดึงดูดบายเออร์จากทั่วโลกกว่า 110,000 คนเข้าชมงาน นอกจากมีบูธออกแสดงงานจาก 3,400 บริษัทจากทั่วโลก ยังมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ รางวัลนวัตกรรมด้านอาหาร SIAL INNOVATION เทรนด์ตลาดอาหารโลกและซูมสำหรับตลาดจีน ฯลฯ

มิส เคท บา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร คอมเอ็กซ์โปเซียม เอเซีย แปซิฟิก ผู้จัดงานแสดงสินค้า SIAL กล่าวว่า “เศรษฐกิจจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 6 ต่อปี ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้น ชุมชนเมืองขยายใหญ่ขึ้น ช่องทางการจัดจำหน่ายทั้ง online และ offline ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการชำระเงินผ่านระบบ e-payment The Millennials (อายุ 18-35 ปี) จัดว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอัตราการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวจีนนิยมบริโภคอาหารที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัย SIAL CHINA ในปีนี้ เราได้รับเกียรติจากสหภาพยุโรปที่เป็น Guest of Honor ในการนำสินค้าอาหารจากยุโรปเข้าออกแสดงในงานมากที่สุดเป็นประวัติการณ์”

“งานแสดงสินค้า SIAL CHINA ถือเป็นงานแสดงสินค้าหลักสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มุ่งส่งออกไปยังจีนและเอเซีย ในปีนี้ มีบริษัทไทยเข้าร่วมออกแสดงงานถึง 38 บริษัท ครอบคลุมพื้นที่ 380 ตารางเมตร สินค้าอาหารที่ผู้ประกอบการไทยนำไปออกแสดงได้แก่ ผลไม้แปรรูป น้ำผลไม้ ขนมขบเคี้ยว ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน โดยคาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ชมงานและบายเออร์เป็นจำนวนมาก ดังเช่นที่ผ่านมา” นางโสมวรรณ เลาหะพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ หอการค้าฝรั่งเศส-ไทย ในฐานะตัวแทนของผู้จัดงานในประเทศไทย กล่าว

ภาพรวมการส่งออกอาหารไทยในปี 2560 มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 โดยประเทศจีนถือเป็นตลาดส่งออกอาหารไทยที่มีอัตราขยายตัวสูงถึง 22.2% และมีสัดส่วนเป็น 9% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของไทย สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารไทยปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 8.7 โดยมีมูลค่าส่งออก 1.12 ล้านล้านบาท มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาเซียน (30%) ญี่ปุ่น (14%) และ จีน (9%) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอยู่ใน Top Ten ของผู้เข้าชมงาน SIAL CHINA

คุณพิมพ์ภิดา วิชญพิมพ์จุฬา ผู้ประสานงานชุดโครงการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative House ภายใต้ฝ่ายอุตสาหกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า “ทาง Innovative House ได้ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมอาหาร เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านการวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีผู้ประกอบการไทยให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการมาโดยตลอด ทาง Innovative House ช่วยให้คำแนะนำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ในตลาดต่างประเทศ ผ่านการออกแสดงงานแสดงสินค้า เช่น SIAL CHINA ในปีที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับที่ดี จนตัดสินใจเข้าร่วมออกแสดงงานอีกเป็นครั้งที่ 2 โดยจะนำ 4 แบรนด์ไปเปิดตลาด”

คุณอิทธิพล คำแพง ผู้จัดการด้านการตลาด บริษัท ไทยโคโคนัท จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทผู้นำในด้านการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวน้ำหอมและมะพร้าวกะทิเสริมว่า “บริษัทให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าและขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเมื่อปีที่แล้วได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ – น้ำมะพร้าวสปาร์กลิ่ง 100% BLANC COCO ทั้งแบบที่เป็นน้ำมะพร้าวธรรมชาติอัดแก๊ส (Natural) และแบบอัดแก๊สผสมแอลกอฮอล์ 5% และได้รับรางวัลนวัตกรรมด้านอาหาร SIAL INNOVATION จาก SIAL CHINA 2017 ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการทำการตลาดต่างประเทศ”

MULTIVAC’s X-line Receives the Gold International FoodTec Award 2018

Wolfertschwenden,

The X-line, a new generation of thermoforming packaging machines, has been given the Gold International FoodTec Award 2018. The thermoforming packaging machine sets a new benchmark in the market thanks to its range of innovative technology. As a result of its seamless digitalisation, comprehensive sensor system and networking with the MULTIVAC Cloud, the X-line creates a new dimension, when it comes to packaging reliability, quality and performance.

The DLG (German Agricultural Association), together with its trade fair partners, gives the International FoodTec Award to groundbreaking developments in innovation, sustainability and efficiency in the sector of food technology. A jury, which is made up of international experts from the world of science and research as well as from representatives of industry, is responsible for selecting the most progressive concepts. The renowned Technology Award is given on a three-year cycle in the form of gold and silver medals by the DLG in cooperation with its industry and media partners at Anuga FoodTec in Cologne.

The X-line, which has been awarded the gold medal, has a level of sensor control never achieved before, whereby the Multi Sensor Control captures all the relevant parts of the process. Using closed control circuits, the sensor system constantly captures a wide range of process values, such as for example for forming, evacuation and sealing. Even the forming and sealing dies are integrated into the sensor control via electronic sensor modules. All the process stages are coordinated to the optimum level, while product- and system-related discrepancies are automatically compensated as much as possible, and even faulty settings by operators are independently detected and displayed. Thanks to this, the X-line works constantly at the optimum operating point.

MULTIVAC Pack Pilot enables the machine to be set up to the optimum level using machine control support. When new recipes are created, the machine parameterises itself to the optimum operating point, using the die set data and the features for pack, product and packaging material that have been selected. This means that the machine can be used even without special operator knowledge. Pack Pilot has access to comprehensive expert knowledge, which benefits from process data from over 1,000 new packaging solutions per year. The X-line produces packs with maximum packaging reliability, consistent quality and very high output without production loss during machine start-up.

A new die generation called X-tools guarantees the lowest operating costs in the market. The X-tools have an extensive range of innovations in their design, sensor system and actuating features. They enable shorter evacuation times to be achieved and therefore contribute to higher cycle outputs. As an option, the X-tools can be designed with a narrower edge trim width. This means that the film trim can be reduced by up to 30 percent. All the die elements are coded and can be identified by the thermoforming packaging machine. When a die is correctly installed, the machine parameterises itself automatically, which ensures that there is optimum process control. This means that operating reliability is increased, particularly for machines with frequent format changes.

And last but not least, the X-line has been equipped with an innovative operating concept. The intuitive HMI 3 Multi-Touch user interface is high-resolution and is equivalent to the operating logic of today’s mobile devices. It enables the operating processes to be controlled even more easily and reliably, and it can be individually set to the particular operator. This includes different access rights and operating languages. User login is contactless by means of RFID chip cards. All the relevant machine parameters are displayed on one screen page.

เป๊ปซี่ ฉลองยิ่งใหญ่ครบรอบ 120 ปีที่ครองใจคนทั่วโลก ในงาน “PEPSI GENERATIONS ซ่าทุกยุค…ไม่มีเปลี่ยน”

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2561 –

เครื่องดื่ม “เป๊ปซี่” โดย บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ระดับโลก จัดงาน “PEPSI GENERATIONS ซ่าทุกยุค…ไม่มีเปลี่ยน” ฉลองครบรอบ 120 ปีของการเป็นแบรนด์เครื่องดื่มร่วมสมัยที่ครองใจคนรุ่นใหม่มาทุกเจเนอเรชัน โดยเปิดตัวแพ็คเกจจิ้งรุ่นลิมิเต็ดเอดิชันที่มาพร้อมดีไซน์สุดคลาสสิคจาก 5 ยุค พร้อมเนรมิต “PEPSI GENERATIONS CLUB” ป๊อป-อัพคลับสุดชิคสไตล์เรโทรที่พาทุกคนย้อนเวลาตะลุยความซ่าไปสัมผัสกับวัฒนธรรมสุดป๊อปในยุคต่างๆ และปิดท้ายด้วยแฟชั่นโชว์สุดปังจากดาราวัยรุ่นสุดฮอตที่มาร่วมเผยโฉมเสื้อผ้าคอลเลกชั่นพิเศษ “PEPSI X GREYHOUND” เป็นครั้งแรก

นายสมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “ถ้าพูดถึงความซ่าสดชื่นของเครื่องดื่มดับกระหายที่มาพร้อมความก้าวล้ำนำเทรนด์ สีสันความสนุกและความแปลกใหม่อยู่เสมอ คงไม่มีใครไม่นึกถึงเป๊ปซี่ แบรนด์เครื่องดื่มระดับโลกที่เติมเต็มรสชาติชีวิตและครองใจคนรุ่นใหม่มาทุกยุคทุกสมัย กว่าศตวรรษแล้วที่เป๊ปซี่โลดแล่นและผสานอยู่ในกระแสป๊อปคัลเจอร์ในแต่ละยุคได้อย่างลงตัวจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นมาจนถึงทุกวันนี้ ในปี 2018 นี้ เป๊ปซี่กลับมาสร้างปรากฏการณ์ความยิ่งใหญ่อีกครั้งกับแคมเปญ PEPSI GENERATIONS หรือ ‘เป๊ปซี่ ซ่าทุกยุค…ไม่มีเปลี่ยน’ เพื่อฉลองครบรอบการเดินทางเข้าสู่ปีที่ 120 ด้วยการพาทุกคนย้อนวันวานไปสัมผัสกับกลิ่นอายความทรงจำสุดเร้าใจ”