Industrial Design and Inspection Center (Food Sector) to Support Southern SMEs in Complete Development of Processed Foods

ศูนย์การออกแบบและตรวจสอบอุตสาหกรรม (สาขาอาหาร) ต้นแบบ
หนุน SMEs ภาคใต้ พัฒนาอาหารแปรรูปครบวงจร

Compiled By: Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

เส้นเลือดใหญ่ของภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก หรือ SMEs ซึ่งบางโรงงานมีข้อจำกัดในเรื่องของเทคโนโลยี เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่ทันสมัย นำไปสู่การทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ไม่เต็มรูปแบบ

การมีหน่วยงานที่สามารถดำเนินงานเพื่อปรับปรุงและแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งแนวทางเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ตลอดจนวิสาหกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้เปิดศูนย์การออกแบบและตรวจสอบอุตสาหกรรม (สาขาอาหาร) ต้นแบบ โดยนำร่องแห่งแรกที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ศูนย์ฯ ดังกล่าวจะมีส่วนช่วยหนุนผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชนด้านอาหารและเครื่องดื่มในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ให้สามารถเข้าถึงการบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และครบวงจร ด้วยเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ทันสมัย เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และยกระดับมาตรฐานการผลิตเพื่อการส่งออก โดยมีเป้าหมายเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับสินค้าอาหารแปรรูปของไทย คาดการณ์กันว่าจะสามารถให้บริการได้ปีละไม่น้อยกว่า 30 ราย และในปี 2562 มีแผนที่จะเปิดศูนย์ฯ เพิ่มอีก 2 แห่ง ที่จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดชลบุรี

SMEs are the main artery of the food and beverage industry in Thailand. Certain technological limitations or lack of modern equipment faced by some of these SMEs may prevent their product research and development from reaching its full potential.

An organization capable of improving such situation is one of the solutions that can lead to a sustainable support to SMEs and community enterprises. The National Food Institute, Ministry of Industry, has hence established the first Industrial Design and Inspection Center (Food Sector) in Hat Yai district, Songkhla.

The Industrial Design and Inspection Center (Food Sector) will provide owners of food and beverage SMEs and community enterprises in 14 southern provinces with convenient, fast, and complete access to cutting-edge tools focusing on product development and improvement of manufacturing standards for export. This will increase the competitiveness of Thai processed food products. The center is expected to serve at least 30 entrepreneurs annually. A plan to open two more centers in Khon Kaen and Chon Buri in 2019 is also in place.

 

6 Common Myths about Food Allergen Testing

6 เรื่องที่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับการทดสอบสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร

Chiara Palladino, Ph.D.
Product Manager for Food Allergens
Romer Labs Division Holding GmbH
Chiara.Palladino@romerlabs.com

Full article TH-EN

ความเข้าใจผิดๆ ที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับการทดสอบสารก่อภูมิแพ้ในอาหาร โดยแบ่งเป็น 6 ข้อหลักๆ ดังนี้

 

  1. ชุดทดสอบสารก่อภูมิแพ้ชุดหนึ่งใช้ทดสอบกับตัวอย่างอาหารชนิดใดก็ได้

ผลิตภัณฑ์อาหารมีองค์ประกอบที่หลากหลายมาก และวิธีการทดสอบบางอย่างอาจจะทำงานได้ดีกว่าในตัวอย่างอาหารบางชนิด โดยขอบเขตของกระบวนการทดสอบมีเพิ่มขึ้นจากความซับซ้อนที่เพิ่มเข้ามาในสมการ

 

2. ข้อความที่ระบุว่า “อาจมีส่วนประกอบของ…” สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้

การระบุข้อความ “อาจมีส่วนประกอบของ…” คือการกระทำโดยสมัครใจของผู้ผลิตและมักเป็นสิ่งที่ป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตซึ่งผลิตอาหารที่มีส่วนประกอบของสารก่อภูมิแพ้ต้องถูกเรียกเก็บผลิตภัณฑ์กลับคืนภายหลัง นี่แสดงให้เห็นว่าในความจริงแล้วยังคงมีความเสี่ยงของการปนเปื้อนสารก่อภูมิแพ้ในผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการติดฉลากข้อความเตือนอยู่

  1. เทคนิค PCR มีความน่าเชื่อถือกว่าเทคนิคทางระบบภูมิคุ้มกัน

เทคนิค PCR นั้นใช้เมื่อต้องการการตรวจวิเคราะห์ที่มีความแม่นยำสูงและได้ผลการตรวจที่รวดเร็ว ในขณะเดียวกันการทดสอบทางระบบภูมิคุ้มกันนั้นก็ยังเป็นมาตรฐานการทดสอบที่ให้ผลดีเยี่ยมและใช้ในการทดสอบสารก่อภูมิแพ้ในอาหารโดยตรง

 

4. เทคนิค Mass Spectrometry (MS) จะเข้ามาแทนที่ชุดทดสอบสารก่อภูมิแพ้ในไม่ช้า

เทคนิค Mass Spectrometry (MS) ยังถือว่าเป็นเทคนิคที่เพิ่งเริ่มต้นและปัจจุบันมีการสงวนไว้ใช้เฉพาะเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น โดยยังไม่อาจให้ผลลัพธ์ของการตรวจสารก่อภูมิแพ้ในอาหารในระดับความน่าเชื่อถือสูงสุดได้

  1. ชุดทดสอบทั้งหมดให้ผลการตรวจสอบเหมือนกัน

ชุดทดสอบมีหนึ่งสิ่งที่เหมือนกันคือเป้าหมายการตรวจแบบกว้างๆ เช่น ถั่วลิสง หรือเคซีน แต่ความเหมือนจบลงแค่นั้น โดยชุดทดสอบที่ไม่เหมือนกันจะใช้บัฟเฟอร์และวิธีการทดสอบที่แตกต่างกันซึ่งอาจมีผลต่อกระบวนการวิเคราะห์ทดสอบและสร้างรูปแบบที่แตกต่างกัน

 

  1. “รายการสารก่อภูมิแพ้อาหารอ้างอิง” ช่วยทำให้การทดสอบมีความน่าเชื่อถือ

อาจเหมือนเป็นคำยืนยันที่น่าสงสัยแต่ก็เป็นความจริง คือไม่มีรายการอ้างอิงของสารก่อภูมิแพ้อาหารแม้จะมีการกล่าวอ้างโดยผู้ผลิตบางรายก็ตาม

 

Here, we dispel six of the most common misconceptions about food allergen testing.

Myth #1: A test kit off the shelf works with any food matrix.

Food products are highly diverse and certain test methods may work better for certain food samples. The extent of processing adds further complexity to this equation. With new or unfamiliar matrices, we always undertake a spike recovery validation at three different levels to make sure it works with our kits and covers the detection range of the assay.

 

Myth #2: “May contain…” statements can solve all our problems.

Advisory “May contain…” statements are voluntary and often serve primarily to prevent the producer from having to make potential allergen-related product recalls. There is a real risk of allergen contamination in products that only make a precautionary statement. Consumers with allergies should avoid products with precautionary labels, as the risk is not assessable. In return, food producers should avoid using a “may contain…” statement without reasonable suspicion.

Myth #3: PCR is more reliable than immunological tests.

It depends. Polymerase chain reaction (PCR) assays are extremely sensitive and make sense when specificity is called for. All the same, immunological rapid tests are still the gold standard and should be preferred in most cases as they directly detect food allergens.

 

Myth #4: Mass spectrometry will soon replace allergen rapid tests.

Mass spectrometry (MS) is a high-end technology that is already used in several fields for routine analysis and shows some potential in allergen analysis: it can measure several allergens in parallel. However, it is still in its infancy and is currently restricted to research applications. MS is not yet able to deliver the highest level of accuracy in food allergen testing.

Myth #5: All test kits on the market detect the same.

Kits do have one thing in common: the overall target (e.g. peanut or casein). But the similarities end there. Different kits use different buffers and procedures, which can have an impact on the extraction process and generate diverging patterns. Furthermore, kits differ in the antibodies used, which, in an added layer of complexity, need to take the various methods of food processing into account.

 

Myth #6: Currently available “Allergen reference materials” improve testing reliability.

It may be a controversial assertion, but it’s the truth: there are no allergen reference materials, despite the claims by some producers.

 

Air Blast Freezer – What’s so Good About It? A Circulation of Cool Air Inside Freezer

เทคโนโลยีการแช่แข็งด้วย Air Blast Freezer การหมุนเวียนของลมเย็นภายในฟรีซเซอร์

ดร.สุกิจ ลิติกรณ์
Sukit Litikorn, Ph.D.
Engineering Support Director
Harn Engineering Solutions Pcl.
sukit@harn.co.th

Full article TH-EN

ลมที่หมุนเวียนภายในฟรีซเซอร์มีความสำคัญอย่างมาก หากได้รับการออกแบบอย่างถูกต้องจะทำให้สินค้ามีคุณภาพดี ประหยัดเวลา และลดต้นทุน โดยการออกแบบฟรีซเซอร์ที่ดีลมเย็นจะต้องพัดผ่านสินค้าโดยมีความเร็วลมเท่ากันในทุกบริเวณ ประกอบกับการจัดเรียงสินค้าและการจัดวางรถเข็นซึ่งจะต้องมีช่องว่างด้านบนระหว่างถาดต่อถาดมากพอให้ลมเย็นไหลผ่านได้ รวมถึงช่องว่างระหว่างรถเข็นด้วย

ในเชิงทฤษฎีนั้นอากาศเป็นตัวกลางในการนำความร้อนที่ไม่ดีเพราะอากาศมีค่าความจุความร้อนจำเพาะ (Specific heat capacity) ที่ต่ำ ดังนั้นจำเป็นจะต้องให้อากาศมีความเร็วสูงในการช่วยดึงความร้อนออกจากตัวสินค้า อย่างไรก็ตาม หากต้องการความเร็วลมที่สูง พัดลมจะต้องทำงานหนักและมีขนาดใหญ่ ซึ่งจะคายความร้อนทิ้งให้เป็นภาระของระบบทำความเย็น แต่หากเราได้คำนวณค่าการทำความเย็นเผื่อไว้มากพอ ความร้อนที่เกิดจากพัดลมก็ไม่มีผลแต่อย่างใด ทั้งนี้ ค่าความเร็วลมที่ไหลผ่านสินค้าดังตัวอย่างกำหนดให้มีค่าประมาณ 5.08 m/s

ในส่วนของอุณหภูมิของลมเย็นที่หมุนเวียนโดยพัดลมควรมีปริมาณที่เพียงพอที่จะทำให้สินค้าถูกทำให้เยือกแข็งอย่างรวดเร็ว โดยจะต้องทำให้อุณหภูมิใจกลางของสินค้ามีอุณหภูมิต่ำกว่า -18 oC ซึ่งอุณหภูมิของลมเย็นจะต้องต่ำกว่า -18 oC อุณหภูมิของลมเย็นที่หมุนเวียนในฟรีซเซอร์มักมีค่าต่ำถึง -35 oC การฟรีซสินค้าด้วยอุณหภูมิของลมเย็นที่ต่ำมากๆ จะทำให้ Freezing Time สั้นลง อย่างไรก็ตาม อย่าลืมคำนึงถึงขนาดและการจัดเรียงสินค้าที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะจะส่งผลถึงความเร็วและการไหลเวียนของอากาศที่ไหลผ่านสินค้า

The air Circulation in the freezer is very important. If properly designed, the goods will have a good quality, while it can also save time and reduce production cost. With good designed freezer, the cool air must pass through the goods with the same velocity in all areas. There should have enough space on ceiling as well as between the goods and the cart in order to allow the cool air flow through it.

Theoretically, air is the medium for poor heat conduction because the air has a specific heat capacity which is low, so it is necessary to provide high air velocity flow to remove the heat from the goods. If we need higher air velocity. The fan must operate under overload condition or must change a bigger size. This will exothermic heat as a burden for the cooling system. But if we estimated suitable cooling rate, heat that was caused from the fan will create no impact. The wind speed that passes through the goods is approximately 5.08 m/s.

The temperature of cooling air circulated by the fan should be sufficient to allow the goods to freeze quickly. The core temperature of goods must be below -18 ° C and the cool air temperature must be lower than -18 ° C. The temperature of freezing air is usually below -35 ° C. To freeze goods with very low temperature cool air, freezing time will be shortened. However, do not forget to consider on the size and appropriate placing method as it will affect on the speed and the air circulation flowing through the goods.

The Most Recently Enforced Food Regulations Notification of the Ministry of Public Health No.387 B.E.2560 (2017) Re: Food Containing Pesticide Residues (Pesticide Residues in Food)

กฎระเบียบด้านอาหารล่าสุดที่มีผลบังคับใช้
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 387 พ.ศ.2560 เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง

By: Bureau of Food
Food and Drug Administration
Ministry of Public Health
food@fda.moph.go.th

Full article TH-EN

ปัจจุบันพบว่ามีการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรเพื่อการกำจัดศัตรูพืชในระหว่างการเพาะปลูกหรือการเก็บรักษา ซึ่งอาจทำให้มีสารพิษดังกล่าวตกค้างในอาหารที่มนุษย์บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 387 พ.ศ.2560 เรื่องอาหารที่มีสารพิษตกค้าง โดยได้ปรับปรุงข้อกำหนดปริมาณสารพิษตกค้างในอาหารต่างๆ ให้ครอบคลุมเหมาะสมเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ระบบการควบคุมการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรมีความปลอดภัยในการคุ้มครองผู้บริโภคตลอดห่วงโซ่ และสอดคล้องเป็นมาตรฐานเดียวกันของประเทศ โดยได้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับเดิมทั้ง 2 ฉบับ คือ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง ลงวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2554 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 361) พ.ศ.2556 เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2556

ทั้งนี้ ระยะเวลาบังคับใช้ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 387 พ.ศ.2560 เรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2560

The use of agricultural hazardous substances during crop cultivation or storage, in addition to the possible contamination thereof in human food, has presently been detected. The Food and Drug Administration, therefore, issued the Notification of the Ministry of Public Health (No.387) B.E.2560 (2017) Re: Food Containing Pesticide Residues where in the regulation on the allowable limit of pesticide residues in food has been amended in order to appropriately respond to the current situation and to ensure consumer safety and protection in the entire chain through the agricultural hazardous substance control systems, which are expected to be grouped under the same national standard. The Notification of the Ministry of Public Health Re: Food Containing Pesticide Residues, dated the 14thApril B.E.2554 (2011) and the Notification of the Ministry of Public Health (No.361) B.E.2556 (2013) Re: Food Containing Pesticide Residues (No.2), dated the 6thAugust B.E.2556 (2013), shall be repealed.

The Notification of the Ministry of Public Health No.387 B.E.2560 (2017) Re: Food Containing Pesticide Residues shall come into force on the 19thSeptember B.E.2560 (2017).

Raising Trend of Grape Seed Extract

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น…ชูคุณสมบัติเพื่อสุขภาพในตลาดฟังก์ชันนอล

By: S.A. Ajinomoto OmniChem NV

Full article TH-EN
องุ่น เป็นผลไม้ที่ถูกกล่าวถึงในแง่ของคุณประโยชน์ด้านสุขภาพเป็นอย่างมากตั้งแต่สมัยโบราณกาล โดยสารพอลิฟีนอลหลากหลายชนิดในเมล็ดองุ่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า “French Paradox” ซึ่งเป็นคำที่เกิดขึ้นจากการสังเกตว่า ทำไมชาวฝรั่งเศสถึงมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่าชาวยุโรปชาติอื่นๆ แม้ว่าจะมีการบริโภคอาหารที่มีไขมันในปริมาณที่ไม่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ เมล็ดองุ่นจากพื้นที่ปลูกจากหลายแห่งสามารถนำมาใช้ในการสกัดสารจากองุ่น แต่สินค้าที่จัดว่ามีคุณภาพมากที่สุดมักเป็นสินค้าที่คัดสรรเมล็ดองุ่นจากแคว้นช็องปาญในประเทศฝรั่งเศส
ด้วยการเลือกสรรและพัฒนากระบวนการสกัดและทำให้บริสุทธิ์อย่างพิถีพิถัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงออกมาเป็นสารสกัดมากมายหลายเกรด ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่อุดมไปด้วยโมโนเมอร์และไดเมอร์ ไปจนถึงวัตถุดิบที่มีปริมาณพอลิเมอริคสูง หรือผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสุดที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าสารสกัดพอลิฟีนอลจากธรรมชาติที่มีอยู่ในเมล็ดองุ่นเลยทีเดียว
เมื่อพิจารณาจากผลการวิจัยที่มีการตีพิมพ์แล้ว สารประกอบที่มีน้ำหนักโมเลกุลน้อยกว่ามักได้รับความนิยมมากกว่าเนื่องจากมีฤทธิ์ทางชีวภาพที่ดีกว่าอย่างชัดเจน ในขณะที่งานวิจัยอื่นๆ ก็ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า โอลิโกเมอร์ที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูงกว่าจะทำให้เกิดปฏิกิริยาทางชีวภาพ (Bio activity) มากกว่า ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการออกฤทธิ์ทางชีวภาพ(1) อย่างไรก็ตาม วัตถุดิบที่ผ่านการรับรอง Kosher ซึ่งเหมาะสมรวมถึงผู้บริโภคมังสวิรัติ และผลิตขึ้นภายใต้มาตรฐานการผลิต FSSC-22000 นั้น ก็มีการจำหน่ายในตลาดแล้วในปัจจุบัน

 

Grapes have been praised since ancient times for their beneficial health effects. Grape seed polyphenols are implicated in the so-called French Paradox, a term referring to the observation that cardiovascular disease is significantly lower in France than in many (northern) European countries notwithstanding dietary fat intake is similar.
Seeds from different geographic origins can be used for preparing grape seed extracts but one of the top quality products using selected seeds can be obtained from the Champaign region, France.
By carefully selecting extraction and purification processes a range of products are made ranging from extracts rich in monomers and dimers to products high in polymeric materials or intermediate grades mimicking the natural polyphenol abundance in the seeds.
Depending on literature cited, lower molecular weight fractions are to be preferred due to their higher bio-availability, while other references clearly demonstrate that higher molecular weight oligomers also exhibit high biological activity apparently not related to bio-availability(1). Regardless of the above Kosher certified materials, compatible with vegetarian diets, that are produced under a FSSC-22000 certified food safety management system can now be offered to the market as well.

Post Show – Food Focus Thailand Roadmap # 44: DRINKING Edition

Full article TH-EN

ไม่ว่าจะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกหรือทั่วโลก “ความเป็นธรรมชาติ” และ “ดีต่อสุขภาพ” ก็ยังเป็นประเด็นสำคัญอันดับต้นๆ ในความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้น ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มควรให้ความสำคัญกับคุณค่าของสินค้าที่ผู้บริโภคจะได้รับ โดยพิจารณาจากส่วนประกอบต่างๆ ที่สะท้อนถึงคุณค่าที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์ เช่น สารผสมอาหาร การกล่าวอ้างคุณค่าทางโภชนาการบนฉลาก บรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค เป็นต้น

โดยแนวโน้มสำคัญเกี่ยวกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มนั้น สามารถแบ่งตามความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่ 1) Mindfulness You & Me คือความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและข้อมูลที่แท้จริง ผู้บริโภคต้องการเห็นคุณค่าของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้บริโภคเองล้วนๆ เช่น การกล่าวอ้างทางสุขภาพต่างๆ ความยั่งยืน ความจริงแท้ของส่วนผสม การเปิดเผยแหล่งที่มาอย่างชัดเจน การกินอาหารเป็นยา เป็นต้น 2) Objectification เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากรูปลักษณ์ภายนอกของอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สี กลิ่น และความสวยงาม ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มต้องสร้างความแปลกใหม่ ดึงดูดความสนใจ สร้างความตื่นเต้น และทำให้ผู้บริโภคเกิดการมีส่วนร่วม ซึ่งแนวโน้มนี้เกิดขึ้นพร้อมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน 3) Permissible Indulgent คืออะไรก็ตามที่ใส่ลงไปแล้วมีเหตุผลให้ผู้บริโภคยอมตามใจที่จะกิน เช่น Wellness cocktail ตอบโจทย์คนที่อยากดื่มแอลกอฮอล์แต่ก็ต้องการการยอมรับในด้านสุขภาพ เป็นต้น

Either in Asia-Pacific or the rest of the world, “naturality” and “good for health” are the top priorities for consumers. Consequently, food and beverage manufacturers should pay attention to what consumers are getting based on components that reflect the true value of the products such as food ingredients, nutrition claims on the label, and packaging that reflects the lifestyle of the consumers.

The significant trends regarding the value of food and beverage can be divided by the demands of consumers as followed; 1) Mindfulness You and Me, which relies in the trust in safety and transparency of the product’s value that matters to the consumer’s self. This includes any health claims, sustainability, ingredients validity, source of origins, and medical property of the food. 2) Objectification, which involves the emotions and feelings occurred from the appearance of the products such as color, scent, and beauty. Food and beverage are expected to create new experience, attractiveness, and excitement for consumers, as a result of technology advancement and smartphone culture. 3) Permissible Indulgent, which refers to the whatever ingredients that convince consumers to consume the product. Wellness cocktail, for example, is an alcohol drink that offer health benefit.

How to Choose an Infrared Thermometer?

การเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด

กิตติพงศ์ คงวัดใหม่
Kittipong Kongwatmai
Thai Calibration Services Co., Ltd.

Full article TH-EN

เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการวัดอุณหภูมิบริเวณพื้นผิวของวัตถุ ซึ่งสามารถวัดอุณหภูมิโดยไม่ต้องสัมผัสและไม่ทำลายวัตถุ อาศัยหลักการการตรวจจับรังสีอินฟราเรดที่วัตถุแผ่ออกมา และแปลงค่าที่ได้เป็นค่าอุณหภูมิ

งานแบบใดที่เหมาะกับเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด?
งานที่เหมาะกับเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด ได้แก่ งานที่ต้องการใช้งานที่อุณหภูมิต่ำหรือสูงเป็นเวลานาน ต้องการหลีกเลี่ยงการสึกกร่อน เช่น กรด หรือความร้อน ต้องการการตอบสนองในการวัดค่าอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องการให้มีการรบกวนระบบที่ต้องการวัด ต้องการหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนในระบบที่ต้องการวัด รวมทั้งระบบที่ทำการวัดอยู่ในสภาวะอันตราย

ทำอย่างไรให้วัดอุณหภูมิได้อย่างถูกต้อง?
ค่าความถูกต้อง (Accuracy) ของอุณหภูมิที่วัดได้จากเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ ซึ่งผู้ที่ใช้งานควรพิจารณาดังนี้
– ชนิดและลักษณะพื้นผิวของวัตถุเป้าหมายหรือวัตถุที่ต้องการวัดอุณหภูมิ โดยวัตถุต่างชนิดกันหรือมีลักษณะพื้นผิวที่แตกต่างกันจะมีค่าสัมประสิทธิ์การแผ่รังสี (Emissivity; ) และค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนรังสีของผิววัตถุ (Reflection; ) ที่ต่างกัน
– ระยะห่างระหว่างวัตถุกับเครื่องมือวัด โดยค่าความผิดพลาด (Error) ของเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด อาจเกิดจากการเคลื่อนที่ของรังสีผ่านตัวกลาง เช่น อากาศที่มี ไอ ควัน ก๊าซ หรือฝุ่นละอองกระจายอยู่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ดูดซึมพลังงานบางส่วนจากรังสีก่อนถึงตัวเครื่องมือวัด ทำให้พลังงานที่เซนเซอร์ตรวจจับได้มีค่าลดลง ค่าที่วัดได้จึงคลาดเคลื่อน
– พื้นที่การวัดอุณหภูมิด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด โดยคิดจากค่าอัตราส่วนระหว่างระยะห่างของวัตถุกับเครื่องมือวัด (Distance; D) และพื้นที่การวัด (Spot size; S) หรือ D:S ซึ่งแสดงถึงระยะห่างที่เหมาะสมของการวัด คุณสมบัติข้อนี้เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว (Specifications) ของเครื่องมือวัดแต่ละผลิตภัณฑ์ ผู้ใช้งานควรเลือกคุณสมบัติให้เหมาะสมกับลักษณะงาน โดยหากจุดที่ต้องการวัดอุณหภูมิ (Measured spot) มีขนาดเล็กมาก หรือมีขนาดเล็กกว่าพื้นที่ของการวัด จะทำให้อุณหภูมิรอบข้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับจุดที่ต้องการวัดอุณหภูมิเข้าไปรวมอยู่ในพื้นที่ของการวัดด้วย ซึ่งเมื่อแปลผลพลังงานที่วัดได้ ค่าของอุณหภูมิที่ได้จะมีความคลาดเคลื่อนจากค่าที่แท้จริง

ดังนั้น การเลือกใช้เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ก่อนนำมาใช้งาน เพื่อให้การวัดอุณหภูมิมีประสิทธิภาพสูงสุด

An infrared thermometer is a contactless device for measuring surface temperature that does not cause damage to the target object. It detects infrared radiation emitted from an object and converts the measured energy into a temperature value.

What kind of situations is the infrared thermometer suitable for?
The device is suitable for, for example, when it needs to be used in a high or low temperature for a prolonged period or for situations in which corrosive factors such as acid or heat need to be avoided as well as for works that necessitate quick measurement results or for circumstances in which users need to avoid interferences or contaminations of the measured systems. It can also be used to measure temperature in a dangerous environment.

How to accurately measure the temperature?
The accuracy of the temperature measured by the device depends on various factors as follows:
– Types and characteristics of the object’s surface as different types of objects or surfaces may yield different emissivity () and reflection () coefficients.
– The distance between the target object and the device as an error may be caused by the medium through which the infrared radiation travels such as air filled with vapor, smoke, or dust, which may partially absorb the radiation before it reaches the device, thus rendering the measured result lower than the true value.
– The size of the measured area, calculated from the ratio of the distance between the target object and the device (Distance; D) and the spot size of the measured area (Spot size; S) or D:S, which shows the ideal distance of measurement. This is a specification unique to each brand of device. Users, therefore, should take into account the specifications that best suit each particular type of works. If, for example, the measured spot is tiny, or smaller than the measured area, the temperature of the surrounding and irrelevant areas will get mixed up in the measurement, hence yielding an erroneous result that does not represent the true temperature value.

Therefore, the aforementioned factors should be taken into account upon choosing a suitable infrared thermometer in order to ensure the optimum result.

Innovative Masking Solutions for Protein-enriched Products

โซลูชันใหม่เพื่อการแก้ปัญหากลิ่นรสในผลิตภัณฑ์เสริมโปรตีน

Jean-Yves LE DANTEC

Managing Director

Metarom Asia Sdn Bhd.

ips.tsqa@gmail.com

 

Full article TH-EN

โซลูชันสารกลบกลิ่นรส1 ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อปรับปรุงรสชาติของผลิตภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยโปรตีน โดยหลักการทำงานแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน โดยขั้นตอนแรกคือการทำให้กลิ่นของผลิตภัณฑ์กลมกล่อมโดยการลดกลิ่นเฉพาะของโปรตีน ขั้นตอนที่สองคือการสร้างความรู้สึกในปาก และขยายความรู้สึกในการรับรู้รสชาติให้ยาวนานขึ้นเพื่อลดรสชาติขมจากผลิตภัณฑ์

 

โซลูชันดังกล่าวได้รับการพัฒนาขึ้นจากการใช้สารสกัดจากธรรมชาติเพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการแก้ปัญหาและเกิดสมดุลในการจัดองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้ผลิตมีทางเลือกที่หลากหลายในการใช้กลิ่นรสมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการกลบกลิ่นที่ไม่ต้องการสำหรับอาหารและเครื่องดื่มนั้นขึ้นอยู่กับการเลือกใช้สารกลบกลิ่นที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ นักวิจัยจึงได้พัฒนาสารกลบกลิ่นรสที่ครอบคลุมและหลากหลายสำหรับโปรตีนจากพืช อันได้แก่ ข้าวสาลี ข้าว ถั่วลันเตา ถั่วเหลือง ฯลฯ เนื่องจากโปรตีนจากพืชแต่ละชนิดนี้มีลักษณะเฉพาะตัว จึงมักให้กลิ่นที่เฉพาะตัวซึ่งผู้บริโภคไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสของการใช้โซลูชันสารกลบกลิ่นรส1 พบว่าสามารถลดกลิ่นรสขมของพืชในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปได้อย่างมาก

 

นอกจากนี้ยังมีโซลูชันสำหรับการกลบกลิ่นโปรตีนจากสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโปรตีนนมด้วย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตผลิตภัณฑ์จากนมและผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร (แบบเขย่า ฯลฯ) ตลอดจนปัจจุบันยังได้มีการพัฒนาสารกลบกลิ่นชนิดพิเศษสำหรับกลบกลิ่นโปรตีนจากวัว และกรดอะมิโนที่นำไปใช้แบบเฉพาะทางในด้านโภชนาการกีฬาด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม

1 โซลูชันสารกลบกลิ่นรสที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาโดย METAROM Group

 

The innovative masking solution1 has been developed in order to improve the flavour of protein-enriched products. These active ingredients intervene on two levels: first, they provide an initial wave of volatile compounds that’s softens the aromatic profile by limiting off-notes from the protein. Secondly, they give mouth feel and extend the length on the palate by coating the sensory receptors, which is what allows the masking agent to reduce bitterness in the finished product.

The solution was developed using extracts from natural flavours for the effectiveness. These solutions have been developed in order to provide gustative balance in product composition, thereby providing food processing companies with a wide range of options in terms of flavourings.

 

The solution to masking undesirable flavor notes in food and beverage systems relies on the right combination of different agents. However, there is a full range of masking agents for vegetable proteins, including wheat, rice, peas, soy, etc., as each vegetable protein is characterized by a particular type of off-note. With pea proteins, for example, organoleptic testing reveals that the innovative masking solution1 is able to significantly reduce the bitterness vegetable notes in finished products.

 

The range also includes masking solutions for animal proteins with particularly for whey milk proteins, which are widely employed in the manufacture of dairy products and meal substitutes (shakes, etc.). Specialized masking agents are also available for beef proteins and amino acids destined for use exclusively in sports nutrition.

 

Additional Information

1 Acti’Mask Pro Pea by METAROM Group

Packaging Industry Transformation to 4.0

การเปลี่ยนถ่ายอุตสาหกรรมการบรรจุสู่ยุค 4.0

Iddhiputt Thamsuriya
Thai Sek Son Co., Ltd.

Full Article TH-EN

ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามักได้ยินคำว่า 4.0 จากสื่อต่างๆทั่วไป แต่!! Thailand 4.0 กับ อุตสาหกรรม 4.0 นั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดย Thailand 4.0 นั้นจะเป็นการพูดถึง New S-Curve หรือก็คือ การพัฒนาเปลี่ยนแปลงแบบ Disruptive ที่ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อพัฒนาธุรกิจในภาพรวมให้เกิดความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ซึ่งต่างจากคำว่าอุตสาหกรรม 4.0 ที่เป็นการบ่งบอกยุคสมัยของระดับเทคโนโลยีอุตสาหกรรม

หากจะกล่าวถึงที่มาที่ไป คงต้องมองกลับไปที่ยุค 1.0 ซึ่งคือ การใช้แรงงาน ยุค 2.0 คือการใช้เครื่องทุ่นแรงหรือเครื่องจักร ยุค 3.0 คือ ทดแทนแรงงานโดยเครื่องจักรแบบอัตโนมัติแล้ว ยุค 4.0 นี้ ก็จะเป็นยุคของการบูรณาการเทคโนโลยีและการสื่อสารเข้าด้วยกัน รวมถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถประมวลผลได้จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ โดยมุ่งเน้นเพื่อลดความผิดพลาดจากมนุษย์ การตอบสนองได้ทุกที่ทุกเวลา การใช้ข้อมูลในการประเมินเพื่อพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานแบบอัตโนมัติ และความสามารถใช้ข้อมูลเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงเป้าหมาย โดยสิ่งที่มักจะได้ยินคือ IoT (Internet of Thing), AI & Deep Learning และ Big Data.

สำหรับในอุตสาหกรรมการบรรจุภัณฑ์ (Packaging industry) ผู้ประกอบการต้องมองไปที่ปลายทางว่าทุกวันนี้ผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนวิถีการดำรงชีพหรือยัง? สั่งของออนไลน์มากขึ้นหรือยังตกปลามากินเองมากขึ้น? ในเมื่อวัฒนธรรมการบริโภคเปลี่ยนไป ขั้นตอนการเข้าถึงก็เปลี่ยน และแน่นอนบรรจุภัณฑ์ คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของกระบวนการผลิตสินค้าก่อนถึงมือผู้บริโภค และเป็นจุดแรกๆ ที่ต้องเริ่มปรับตัว ซึ่งระบบ Augmented เริ่มได้ที่บรรจุภัณฑ์ ส่วนระบบตรวจติดตาม (Track & Trace) ก็เริ่มที่บรรจุภัณฑ์ ตลอดไปจนระบบการจัดส่งก็ยังเริ่มที่บรรจุภัณฑ์ ไม่เว้นแม่แต่ระบบบริหารจัดการสต๊อกสินค้าที่ก็มีจุดเริ่มที่บรรจุภัณฑ์ เช่นกันทั้งหมด

Now a day we all heard of 4.0. However, what is it by the way? Thailand 4.0 and Industrial 4.0 is totally different. Thailand 4.0 is national policy about support and promoting New S-Curve or develops a Disruptive Business with the use of innovative technology for “Stabilities, Wealthy, Sustainability” economy.

Where Industrial 4.0 indicates era of Industrial Development Level which 1.0 is using human force only, 2.0 is where human using tools or simple machine to helps, 3.0 is where automatic machine replaces human force and accuracy. Industrial 4.0 is an integration of technology and communication including artificial intelligence (AI) focusing on abilities to process best possibilities out of huge database in order to decrease human error, 24/7 response, database utilization to increase potential and performance automatically, accessibility to right target customer preference where we all heard IoT (Internet of Thing), AI & Deep Learning, and Big Data nowadays.

For Packaging, the Entrepreneur needs to focus on downstream consumption behavior. Is it changed? Is online ordering is more than traditional purchase? When the consumption culture change, the process is changed, and definitely Packaging is an important starting point where it is the last production process before it delivers to end-user and is the first who needs adaptation. POS Augmented Reality begins by Packaging, Track & Trace begins by Packaging, Logistic management begins by Packaging, and Inventory management begins by Packaging.

Stepping up in Silver Food and Care Food The New Trends of Healthy and Functional Food for Thai Society

ก้าวเข้าสู่เทรนด์อาหารแนวใหม่ของสังคมไทย: อาหารสำหรับผู้สูงอายุและแคร์ฟู้ด

กรณ์อัฐชญา วีณุตตรานนท์
Kornautchaya Veenuttranon
Researcher
Yamamori R&D Center
Yamamori Trading Co., Ltd.
Kornautchaya@yamamoritrading.com

Full article TH-EN

นวัตกรรมเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์อาหารในรูปแบบใหม่ๆ เช่น อาหารเชิงสุขภาพและอาหารฟังก์ชัน (อาหารเชิงหน้าที่) ในขณะที่ปัจจุบันสถานการณ์การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ[1] มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลกส่งผลต่อความต้องการในตลาดอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป ดังเช่นในไทยและญี่ปุ่น ซึ่งการปรับขยายตลาดอาหารเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากรกลุ่มนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น

เมื่อนึกถึงฟังก์ชันของอาหารสิ่งแรกที่ผู้บริโภคสนใจ คือ คุณค่า/สารอาหารแต่ลึกไปกว่านั้นเราก็ต้องการรับประทานอาหารอย่างมีความสุข โดยปกติความสามารถในการรับประทานอาหารจะเสื่อมถอยไปตามวัยและความเจ็บป่วย ถึงอย่างนั้นมนุษย์ก็ยังต้องการที่จะรับประทานอาหารอย่างมีความสุขเช่นดังเดิม ดังนั้น การเลือกอาหารที่เหมาะสมจะสามารถช่วยบำบัดฟื้นฟูความสามารถในการรับประทานได้

ญี่ปุ่นก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุมาเป็นเวลายาวนานกว่าไทย ผ่านการพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และมาตรฐานอาหารขึ้นสำหรับทั้งผู้สูงอายุและผู้ประสบปัญหาการรับประทาน ซึ่งในบทความนี้จะอธิบายถึงการจัดทำมาตรฐานและการแบ่งประเภทอาหารดังกล่าวของญี่ปุ่นรวมไปถึงภาพรวมของสถานการณ์เหล่านั้นในประเทศไทย

สำหรับประเทศไทย เมื่อพูดถึงคำว่าอาหารสำหรับผู้สูงอายุ (Silver food) และแคร์ฟู้ด (Care food) นั้นคงยังเป็นคำที่ไม่คุ้นหูของสังคมไทย ดั้งนั้นเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ตระหนักรู้ในเบื้องต้นนั้น สำนักโภชนาการภายใต้กระทรวงสาธารณสุขได้มีการจัดทำธงโภชนาการขึ้นเพื่อเป็นคำแนะนำในการบริโภคอาหารเพื่อมีสุขภาพที่ดี และนอกเหนือไปจากนี้ยังมีกลุ่มของหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ร่วมมือกันสร้างเครือข่าย Care food ขึ้นเพื่อเป็นการขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาอาหารเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยในอีก 3- 5 ปีข้างหน้า [2,3]

The innovation may create new trends in healthy and functional food, while due to globally increasing aging population[1] including Thailand and Japan as good examples, the market requirement of silver food and care food must be expanding.

When it comes to tell functions of food, the nutrition is always paid attention to maintain the healthy life, but we shall consider that eating is one of the most pleasure time in the life. We all accept that troubles of eating will be occurred not only by aging, but also sometime by illness/accidents, however, we would like to enjoy daily meals as our unchanged naturally abilities. The decline of eating abilities might not be one way occurred, rehabilitation and training may restore such abilities. Thus, proper selection on care food is crucial to give a way of restoring.

Japan is seriously facing to the matter of aging society more than Thailand. And they are advancing to have made standards and developed food for those who are in trouble of eating. Therefore, as a sample, Japanese standard in silver food and care food would be hereinafter shortly introduced, then later, the current situation of care food in Thailand along with the initiative actions will be introduced.

In Thailand, the words of ‘silver food’ and ‘care food’ have not become well-known in public yet. One of the initiative actions was published in nutrition flag as a dietary guideline created by the Bureau of Nutrition. Furthermore, groups of public organizations, e.g. National Science and Technology Development Agency, and the Thailand Research Fund also took this matter into consideration with the situation that Thailand is completely moving from aging society to aged society in next 3-5 years [2,3], thus, the care food network has been established last year to serve the increase of silver age population as the key drive in research and development, and pushing of food innovation to be commercialized [3].