สมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลกฯ จัดงานประชุมเผยแพร่องค์ความรู้ด้านสัตว์ปีก

กรุงเทพฯ, 17 ตุลาคม 2561 – น. สพ.ศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลก สาขาประเทศไทย เป็นประธานเปิดงานการประชุมใหญ่สามัญสมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลก สาขาประเทศไทย ประจำปี 2561 ณ โรงแรม สวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด โดยมีนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของไทยมาร่วมเผยแพร่ พร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ จากทั่วโลกที่จะเป็นประโยชน์ต่อวงการสัตว์ปีก เพื่อร่วมพัฒนาอาหารคุณภาพ ปลอดสาร ปลอดภัย แก่ผู้บริโภค โดยในงานนี้ยังเป็นเวทีนำเสนองานวิจัยของนิสิตและนักศึกษาไทยอีกด้วย

ประเทศไทยเป็น 1 ใน 80 ประเทศที่เป็นสมาชิกสมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลก โดยประเทศไทยส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการติดตามวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์อย่างใกล้ชิด ด้วยงานศึกษาวิจัยที่หลายประเทศร่วมมือกันทำให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่ออุตสาหกรรมสัตว์ปีก สามารถนำมาพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เกิดการลดต้นทุน และได้ผลิตภัณฑ์อาหารจากสัตว์ปีกที่ปลอดภัย ไม่มีการใช้ฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ

ดีเคเอสเอชประกาศรายงาน GRI เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

กรุงเทพฯ, 18 ตุลาคม 2561

ดีเคเอสเอช ประกาศรายงานฉบับแรกของบริษัททางด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และกิจกรรมช่วยเหลือสังคมขึ้น โดยนำมาตรฐานของ Global Reporting Initiative guidelines (GRI) ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดทำรายงานด้านความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาเป็นแนวทาง ในฐานะที่เป็นบริษัทสวิสซึ่งดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียมากว่า 150 ปี การเสริมสร้างสังคมให้พัฒนาขึ้นจึงถือเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ

ดีเคเอสเอช ผู้นำในการให้บริการด้านการขยายตลาด โดยมุ่งเน้นในภูมิภาคเอเชียประกาศรายงานฉบับแรกของบริษัทโดยนำมาตรฐานของ Global Reporting Initiative guidelines (GRI) มาเป็นแนวทางในครั้งแรกนี้ ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ นักลงทุน พนักงาน รวมถึงบุคคลทั่วไปจะได้รับทราบถึงข้อมูลเชิงลึกทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และกิจกรรมทางด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท ดีเคเอสเอช โดยรายงานดังกล่าวได้จัดทำขึ้นตามแนวทางหลักของ GRI (option “core”) ซึ่งกว่า 50 หน้าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจของดีเคเอสเอช กิจกรรมทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ผลกระทบและวิธีการจัดการบริหาร โดยกล่าวถึงทั้งหมด 12 หัวข้อ โดยจะเน้นที่กิจกรรมหลัก เช่น การขาย การตลาดและการกระจายสินค้า

วิสัยทัศน์ของดีเคเอสเอชด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในประเทศที่บริษัทประกอบธุรกิจด้วยในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเพื่อเติมเต็มวัตถุประสงค์ขั้นพื้นฐานด้วยการนำผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ วัตถุดิบอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยี เข้าสู่ตลาดโดยมีการดำเนินงานด้วยคุณธรรม ความเชื่อใจ และไว้วางใจได้

ในความร่วมมือกับมูลนิธิไร้ท์ ทู เพลย์ ทางบริษัทจึงได้ประกาศรายงาน GRI อย่างเป็นทางการที่กรุงเทพฯ ดีเคเอสเอชเป็นพันธมิตรกับมูลนิธิไร้ท์ ทู เพลย์มาอย่างยาวนาน ซึ่งองค์กรนี้มุ่งเน้นทางด้านการศึกษาและเสริมสร้างสมรรถภาพของเด็กผู้ด้อยโอกาสทางสังคมผ่านทางการเล่นและกิจกรรมต่างๆ

มร. สเตฟาน พี บุทซ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทดีเคเอสเอช กล่าวว่า “ในฐานะที่เราเป็นบริษัทสวิสซึ่งดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียมากว่า 150 ปี การเสริมสร้างสังคมให้พัฒนาขึ้นถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของดีเคเอสเอชเสมอมา ธุรกิจของเราในการให้บริการด้านการขยายตลาดมีพื้นฐานมาจากการมีคุณธรรม ความเชื่อใจ และไว้วางใจได้ คุณค่าเหล่านี้ถูกปลูกฝังอยู่ในวัฒนธรรมองค์กร และหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางด้านการขายของเรา ทางบริษัทได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในรายงาน GRI ฉบับนี้แล้ว”

สามารถดาวน์โหลดรายงาน GRI ได้ที่: dksh.com/sustainability

Get Digital. Now! Industrial Transformation ASIA-PACIFIC 2018

Festo participated at the 1st Industrial Transformation ASIA-PACIFIC, a Hannover Messe event held at Singapore EXPO from 16 – 18 October.

Adopting an integrated approach, Festo endeavours to help transform production systems to become digitally and intelligently networked throughout. At the exhibition, Festo presented the latest technologies, solutions and training programmes for the production world of tomorrow.

Visitors were able to discover how Festo creates added value for customers along a guided journey that is anchored by four key pillars.

Learn – Enabling customers to learn to engage with digital automation
Bionics4Education: Bionic Fish- The Bionic Fish promotes creativity and fun while learning from nature. Participants will be able to design fins from the materials provided and see how their design helps the bionic fish navigate in water. This exhibit is an optimal combination of digital and hands-on learning.
Cyber Physical (CP) Factory – The CP Factory illustrates the practical implementation of a networked factory. It is a comprehensive, modular and expandable Industry 4.0 factory model which can be used to represent the entire value chain. Training areas such as assembly line, logistics, production, production planning and control/Manufacturing Execution System (MES), lean production and quality assurance can be represented in didactic terms with this model.

Build – Supporting machine manufacturers with digital tools
Handling Guide Online (HGO) – The HGO is a smart and intuitive tool to help configure and create new system solutions. The new configuration and ordering platform that is integrated into Festo’s online product catalogue also ensures there is no need to interrupt the value chain. They can have the right standard handling system, including CAD model, in just a few clicks.

Operate – Providing condition monitoring and maintenance in the digital age
Internet of Things (IOT) – The IOT compact handling system, which is a coordinated system kit consisting of kinematics, control system, software and visualisation, is the basis for a variety of desktop applications. A gateway that is directly connected to a Cloud and the IOT then transmits the data of the components via OPC-UA to a dashboard, so data may be analysed in real time.

Inspire – Inspiring future generations to work smart with bionic and future concepts
BionicCobot – The movement patterns of the BionicCobot are modelled after those of the human arm. Each of its seven joints makes use of the natural operating mechanism of the biceps and triceps – the efficient interplay of flexor and extensor muscles. It can thus execute very delicate movements, just like its biological model. The pneumatic lightweight robot can work directly and safely together with humans and serves to inspire future ways of working and collaborating with robots.
As a trendsetter in automation technology, Festo is actively involved in a broad range of areas: our experts advise the German federal government, contribute to the standardisation of communications and software interfaces, and offer basic and further technical training opportunities across the globe. Festo is the only company to offer flexible, decentralised installation concepts and integrated mechatronic solution packages. From the mechanical system to the Industry 4.0-compatible cloud – everything comes from a single source.

กรมประมง แจงด่วน!! สหรัฐอเมริกา ไม่ได้ห้ามนำเข้า “น้ำปลาไทย” ทั้งระบบ และไม่ได้สุ่มตรวจพบสารก่อมะเร็ง

กรุงเทพฯ, 24 ตุลาคม 2561 – นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง ชี้แจงหลังกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวน้ำปลาจากประเทศไทยมีปัญหาในการนำเข้าสหรัฐอเมริกาว่า กรมประมงในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าประมงก่อนส่งออกไปต่างประเทศได้เร่งประสานข้อเท็จจริง ซึ่งพบว่าสาเหตุที่ทางองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐ (USFDA) ได้ขึ้นบัญชี Import Alert เลขที่ 16-120 ประเภท Detention without Physical Exam (DWPE) โรงงานผู้ผลิตน้ำปลาจากประเทศไทยบางแห่งไว้ เนื่องจากมีการตรวจพบว่ากระบวนการควบคุมการผลิต (HACCP) ของโรงงานไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัย HACCP (21 CFR 123.3) ของ USFDA ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดสารโบลูทินัมและสารฮีสตามีนในผลิตภัณฑ์ หากตรวจพบในปริมาณที่เกินมาตรฐานกำหนดจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

ทั้งนี้ USFDA ได้เสนอแนวทางแก้ไขกรณีดังกล่าว 2 แนวทาง คือ (1) ให้โรงงานผู้ผลิตน้ำปลาของไทยปรับกระบวนการผลิตให้มีขั้นตอนการผ่านความร้อน หรือ (2) นำเสนอข้อมูลในเชิงวิทยาศาสตร์มายืนยันว่ากระบวนการผลิตน้ำปลามีการควบคุมที่เทียบเท่ากับข้อกำหนด HACCP ของ USFDA และสามารถป้องกันการเกิดสารพิษดังกล่าวได้ ซึ่งขณะนี้ โรงงานฯ ได้มีการจัดส่งเอกสารชี้แจงตามข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัย HACCP ให้ USFDA แล้ว แต่มีการเรียกขอข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งนี้ โรงงานฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขและจัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้เจ้าหน้าที่ USFDA พิจารณา

โดยในส่วนของกรมประมงอยู่ระหว่างการจัดทำและรวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกระบวนการหมักน้ำปลาที่สามารถป้องกันการเกิดสารโบลูทินัมและฮีสตามีนในผลิตภัณฑ์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการนำเสนอแนวทางการป้องกันปัญหากับ USFDA ต่อไป ส่วนกระบวนการให้ความร้อนซึ่งเป็นอีกแนวทางที่ USFDA เสนอนั้น ผู้ผลิตส่วนใหญ่ของไทยไม่นิยมนำมาใช้ปฏิบัติเนื่องจากจะทำให้กลิ่นและรสเฉพาะของน้ำปลาเปลี่ยนแปลง ประกอบกับกระบวนการผลิตน้ำปลามีการใช้เกลือในปริมาณสูงเพียงพอที่จะยับยั้งการเกิดเชื้อโรคและสารที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อีกทั้ง กระบวนการผลิตน้ำปลาของไทย ซึ่งไม่ได้ใช้วิธีการต้ม แต่ก็เป็นการผลิตตามมาตฐานการผลิตน้ำปลา(Standard for Fish Sauce; Codex Stan 302-2011) ของ CODEX ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก

ดังนั้น การออกประกาศเตือน Import Alert น้ำปลาไทยในครั้งนี้ จึงไม่ได้มีเหตุเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การห้ามนำเข้า (Import Ban) น้ำปลาจากประเทศไทยทั้งหมดอย่างที่เป็นข่าว แต่เป็นการห้ามนำเข้าเฉพาะโรงงานที่อยู่ใน Import Alert เท่านั้น และไม่ได้มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสุ่มตรวจสารก่อมะเร็งแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะ USFDA ไม่ได้มีข้อกำหนดให้ตรวจสารก่อมะเร็งในผลิตภัณฑ์น้ำปลาตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในการผลิตน้ำปลา ประกอบกับประกาศ Import Alert เลขที่ 16-120 ก็มิได้มีการกล่าวถึงการสุ่มตรวจสารก่อมะเร็งในน้ำปลาด้วย

อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกามีระบบการควบคุมการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด โดยมี USFDA เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแล มีการใช้ระบบการป้องกันอันตรายจากสินค้าที่นำเข้าที่ USFDA เชื่อว่าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของสหรัฐอเมริกา (Import Alert) การประกาศ Import Alert เป็นวิธีการของ USFDA ในการแจ้งเจ้าหน้าที่ของตนที่ประจำอยู่ที่ด่านตรวจต่างๆ ให้ทราบว่าจะจัดการกับสินค้าดังกล่าวอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ปกติที่มีการออกประกาศฯ เป็นประจำของ USFDA ที่จะเตือนและให้มีการกักกันสินค้าจากผู้ส่งออก/ผู้ผลิต ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีสารอันตรายปนเปื้อนหรือไม่ได้มาตรฐานตามที่ FDA กำหนด การออกประกาศเตือน (Import Alert) มิได้มีเหตุเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การประกาศ Import Ban ประเทศผู้ส่งออกแต่อย่างใด โดยเหตุผลหลักที่สินค้าถูกระบุ Import Alert แบ่งเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ สินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยที่ USFDA กำหนด และระบบการควบคุมการผลิตของโรงงานไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัยของกฎระเบียบ HACCP (21 CFR 123.3) ทั้งนี้ การประเมินระบบ HACCP ของ USFDA จะประเมินจากเอกสารคู่มือคุณภาพที่โรงงานส่งให้และมีระบบการสุ่มตรวจโดยการส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจ ณ โรงงานผู้ผลิตเป็นครั้งคราว หลังจากถูกประกาศขึ้น List แล้ว การจะหลุดจาก List ได้ผู้ผลิต/ผู้ส่งออก ต้องมีการพิสูจน์ตนเอง หมายความว่า หากพบว่าระบบการควบคุมการผลิต (HACCP) ไม่ได้มาตรฐาน โรงงานต้องจัดทำเอกสารเพื่อพิสูจน์ว่ามีการควบคุมตามข้อกำหนด ในกรณีสินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานฯ USFDA จะสุ่มตรวจสินค้าที่เข้ามาใหม่โดยต้องไม่มีปัญหาใดๆ อีกอย่างน้อย 5 Shipments แล้วจึงทำการยื่นเรื่องต่อ USFDA ขอถอดถอนรายชื่อตนจาก List ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาประกาศรายชื่อประเทศผู้ส่งออกใน Import Alert เลขที่ 16-120 กว่า 40 ประเทศ และมีโรงงานในรายชื่อดังกล่าวกว่า 200 โรงงาน

สุดท้ายนี้ อธิบดีกรมประมง เน้นย้ำให้ผู้ส่งออกของไทยเคร่งครัดปฏิบัติตามกฎระเบียบของ USFDA เพื่อให้สินค้าของตนเป็นไปตามเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนด และสามารถส่งออกไปขายสหรัฐอเมริกาได้ และขอให้ประชาชนผู้บริโภคอย่าเพิ่งวิตกกังวลต่อกรณีดังกล่าว

Hitec Food Equipment ย้ายสำนักงานแห่งใหม่ 29 ตุลาคม 2561

สมุทรปราการ, 29 ตุลาคม 2561 – บริษัท ไฮเทค ฟู๊ด อีควิปเมนท์ จำกัด ได้ดำเนินการย้ายสำนักงานแห่งใหม่ ทั้งนี้ ลูกค้าผู้มีอุปการคุณและผู้ผลิตทุกท่านสามารถติดต่อบริษัทฯ ได้ที่ 1970, 1971, 1972 หมู่ 1 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ 10270 โทรศัพท์ 0 2026 3543, 0 2117 3658 โทรสาร 0 2117 3659 เว็บไซต์ www.hitec-th.com ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2561 นี้เป็นต้นไป

Relocation Announcement of Hitec Food Equipment
Samut Prakan, 29 October 2018 – Hitec Food Equipment Co., Ltd. is going to relocation to its new office from 29 October, 2018 onwards. Valuable customers and suppliers can contact Hitec Food Equipment at the new address; 1970,1971,1972 Moo 1, Samrong Nuea, Muang Samutprakarn, Samutprakarn, 10270 Thailand. Tel: +(66)2-026-3543, +(66)2-117-3658 Fax: +(66)2-117-3659 Website: www.hitec-th.com

วันไข่โลก 2561” ย้ำกินไข่ทุกวัน กินได้ทุกวัย มุ่งส่งเสริมคนไทยกินไข่ 300 ฟอง/คน/ปี

Getting into the spirit of things: Brits set to spend nearly £420 million on Halloween in 2018

It’s that time of year again, when the nation takes great delight in scaring friends and neighbours. New Mintel research forecasts that Brits will spend a spooktacular £419 million on Halloween this year, up by 5% from £400 million in 2017.
Keen to be a part of the Halloween spectacle, a fang-tastic half (52%) of all Brits splashed out on Halloween in 2017, rising to 85% of parents of under fives. But according to Mintel research, the generation most set on scaring their friends and neighbours are young Millennials, 77% of whom splashed out on the Halloween extravaganza in 2017.
A quarter (25%) of Halloween purchasers spent between £10-£25 on Halloween last year, while around the same number (24%) spent £10 or less. Meanwhile, a fearless 17% spent between £26-£50.
A highlight in many Brits’ calendars, 56% of Halloween spenders say they enjoy taking part in Halloween activities. But while many Brits love the thrill of Halloween celebrations, a thrifty 43% of Halloween purchasers say the cost of holding one puts them off hosting.
Across the UK, the regions most likely to take part in creepy inspired celebrations include the North East/North West and East Midlands, where 56% of consumers indulged in Halloween purchases in 2017. Meanwhile, those in the South East/East Anglia are the least likely to partake in ghoulish goings-on, as just 45% bought Halloween merchandise in 2017.
Chana Baram, Retail Analyst at Mintel, said “Halloween continues to grow in popularity benefiting from the booming leisure market, and is a perfect opportunity for retailers to create experiences for customers. Once again, sales are set to increase as retailers dedicate more shelf space and merchandise to this key seasonal event. Food and drink prices have been rising over the summer months; as this is the biggest category for Halloween, we expect it will help boost sales. There has also been an increase in events and Halloween dedicated stores this year, as well as increased focus on more high value items such as makeup and fashion. A number of supermarkets also have Halloween party ideas featured on their websites, including money saving tips such as cooking Halloween-inspired recipes from scratch and ways to decorate homes, in an effort to inspire consumers on a budget to celebrate as well.”
Brits keep Halloween trick-or-treaters sweet, Keeping it sweet, chocolates and sweets were a firm Halloween favourite in 2017, with 40% of Brits having treated their spooky visitors to these items last year. While for many traditionalists no Halloween is complete without a pumpkin, only a fifth (18%) of Brits bought one last year, rising to 24% of those living in the South West and 33% of 25-34s. Around one in seven (15%) Brits spent money on fancy dress, while 14% splashed out on decorations and 11% purchased special food and drink for the home.
“Confectionery is the biggest purchase for Halloween and even those who do not take part in the celebrations are likely to buy sweets or chocolates for any visiting trick-or-treaters. We are also seeing more evidence of retailers promoting some everyday products as being appropriate for Halloween. Fashion and beauty retailers are doing this by putting outfits together that can double up as a costume idea, or makeup that is perfect for creating a Halloween look. This has proved a very effective way to entice Millennial consumers, in particular, who are buying more beauty products for Halloween.” Adds Chana.
A green Halloween, Traditionally a season for orange and black, today’s environmentally friendly Brits are keen to stay green, as some 75% of Halloween spenders say they would reuse Halloween costumes/decorations. Looking to up their game, 40% of Halloween purchasers use social media for inspiration. Finally, for half (50%) of Halloween purchasers, shopping for the big night is a last minute affair.
“As sustainability continues to dominate the headlines, it has become a big part of many retailers’ strategies. An overwhelming majority of consumers would like to reuse their Halloween items, as they become more informed about and wary of today’s throwaway culture. There is therefore room for retailers to sell more robust products, while highlighting the fact that they can be reused.” Concludes Chana.

Jojo Mendoza appointed Managing Director of Krones Filipinas Inc.

Philippines, 1 September 2018 – Krones Filipinas Inc. announces the arrival of Jojo Mendoza, in the company’s position of Managing Director. Jojo brings to his new role, a wealth of business management experience from over 17 years in the food and water industry sector where he specialised in process technologies within the food and water operations. As such, Jojo is well equipped and skilled in leading the Krones subsidiary serving the Philippines market and the Krones Group looks forward to the further development of the local liquid food market with Jojo at the helm of its Philippines team.

Krones Filipinas, Inc. is the subsidiary of the Krones Group and its offices are located in Taguig City, Philippines. The subsidiary aims to position itself closer to its customers thereby more responsively serving its customers in Philippines by offering a local contact point, faster trouble-shooting capability, and also delivering a quality service in the local language and currency.

Krones AG is a German packaging and bottling machine manufacturer. It is the world’s leading manufacturer of lines for filling beverages in plastic and glass bottles or beverage cans. The company manufactures stretch blow-moulding machines for producing polyethylene terephthalate (PET) bottles, plus fillers, labellers, bottle washers, pasteurisers, inspectors, packers and palletisers. Krones product portfolio is complemented by material flow systems and process technology for producing beverages, plus syrup kitchens, for clients like breweries, dairies and soft-drink companies. Krones earned 3.69 million euro revenue in 2017, with stable growth of 10% in order intake. Revenues and performance are expected to increase further in 2018.

VIV ASIA 2019 Grand Show Preview

เปิดอุตสาหกรรมใหม่ขับเคลื่อนสู่ “อนาคตของวิศวกรรมอาหาร

 เมืองนานกิง ประเทศจีน, 16 กันยายน 2561

วิฟ เอเชีย งานแสดงเทคโนโลยีและสัมมนาสำหรับอุตสาหกนนมปศุสัตว์และสัตว์น้ำระดับโลก ครอบคลุมตั้งแต่เมล็ดพันธุ์จนถึงอาหาร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 มีนาคม 2562 ณ ไบเทค กรุงเทพฯ ประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการในวงการกว่า 1,250 ราย ซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกสายพันธุ์ของอุตสาหกรรมปศุสัตว์และครบทุกภาคส่วนของห่วงโซ่อาหาร จึงทำให้งานวิฟ เอเชีย เป็นงานแสดงสินค้านานาชาติที่ทั่วโลกรอคอย โดยเมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดงานแถลงข่าวเพื่อแถลงความคืบหน้าและคอนเซ็ปของการจัดงานในปีหน้า โดยเลือกจัดงานแถลงข่าวขึ้นที่ประเทศจีนเพราะประเทศจีนเปรียบเสมือนผู้นำและคู่ค้าที่สำคัญในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ท่ามกลางสื่อมวลชนและพันธมิตรการค้าจากนานาประเทศ

 

ภายในงานแถลงข่าว VIV ASIA คุณ Wang Yimin รองประธาน บริษัท Hejun Consultant Co., Ltd. และผู้อำนวยการ Hejun Agriculture Research Center ได้กล่าวถึงบทบาทการเป็นผู้นำของประเทศจีนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการชี้ชัดถึงแนวโน้มการปรับตัวและเทรนด์ของการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น มีการเพิ่มข้อกำหนดการผลิตและการสรรสร้างผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสในการค้าปลีก ตลาด E-Commerce และขวางห่วงโซ่การผลิต ปัจจุบันเอเชียมีการพัฒนาตลาดการค้าด้านปศุสัตว์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นผู้นำในการลงทุนกับเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเครื่องมือใหม่ในกระบวนการผลิต นับเป็นการช่วยเพิ่มมูลค้าให้กับการผลิตเนื้อสัตว์ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทาน

 

คุณ Zhenja Antochin ผู้จัดการโครงการ VIV ASIA กล่าวว่า “ปัจจุบัน งานวิฟ เอเชีย เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ธุรกิจปศุสัตว์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตเนื้อสัตว์จนถึงอาหารพร้อมรับประทาน เสมือนต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างครบวงจร ภายในงานมีการเชิญ 60 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการโรงชำแหละและการแปรรูปสัตว์ เพราะจากผลสำรวจพบว่า 16.6% ของผู้เข้าชมงานมีความสนใจในส่วนนี้”

 

“สิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นในปี 2019 จะมีการเปิดตัวโซนธุรกิจใหม่ภายในงานวิฟ เอเชีย ซึ่งก็คือ โซนวิศวกรรมอาหาร ซึ่งเราได้แบ่งพื้นที่สำหรับธุรกิจนี้ไว้เป็น 2 เท่าของปีที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับโซนโรงชำแหละ และ กระบวนการแปรรูป ซึ่งมีบริษัทชั้นนำมากกว่า 100 รายทั่วโลกพร้อมที่จะนำเสนออุปกรณ์ เทคโนโลยี และการบริการในการขนส่ง แช่แข็ง ส่วนผสมอาหารสัตว์ และการบรรจุภัณฑ์พร้อมจัดจำหน่าย เป็นต้น ซึ่งวิศวกรรมอาหารคือการรวมกันของหลายสายพันธุ์ ครอบคลุมทั้งเนื้อสัตว์ปีก, กระบวนการผลิตไข่, สัตว์เนื้อแดง, ปลา, กุ้ง และผลิตภัณฑ์จากนม”

 

คุณปนัดดา ก๋งม้า ผู้อำนวยการโครงการ วิฟ เอเชีย เลือกจัดงานแถลงข่าวการจัดงานครั้งนี้ที่ประเทศจีน ภายในช่วงการจัดงาน วิฟ ไชน่า เพื่อให้สื่อมวลชนได้เห็นภาพรวมของงานวิฟ บางส่วนที่เมืองนานกิง ประเทศจีน โดยเน้นไปที่ความหลากหลายของสายพันธุ์เน้นหนักที่เนื้อสัตว์ปีก ไข่ อาหารทะเล และผลิตภัณฑ์นม คุณปนัดดา กล่าวว่า “จากมุมมองของผู้จัดงาน สัตว์ปีกเป็นธุรกิจที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดในงานวิฟ เอเชีย ในขณะที่ส่วนทีเหลือยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภายในงานจะมีการนำเสนอธุรกิจการผลิตเนื้อหมู ซึ่งมีผู้จัดจำหน่ายจำนวนมาก ตามมาด้วยธุรกิจสัตว์ปีกและไข่ เป็นต้น”

 

“จากความสำคัญของธุรกิจการผลิตเนื้อหมูในตลาด งานวิฟ เอเชีย ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาธุรกิจนี้ มีการผสมผสานหลายธุรกิจเข้าด้วยกันด้วยวิธีการที่หลากหลาย การปรับปรุงพันธุ์ การนำเภสัชศาสาตร์เข้ามาช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะจุดแข็งที่สุดของการจัดงาน วิฟ เอเชีย คือ การเสริมสร้างความเข็มแข็งให้กับธุรกิจการพัฒนาด้านพันธุกรรมของสัตว์, การสืบพันธุ์ และอุปกรณ์ที่สำคัญในฟาร์ม” นอกจากนั้น งาน วิฟ เอเชีย 2019 จะมีขนาดพื้นที่ที่กว้างขวางยิ่งขึ้น และ รวมบรรดาผู้จัดจำหน่ายในสายการผลิตเนื้อหมูทั่วโลกมาเข้าร่วมงาน ผู้เข้าชมงานสามารถเพลิดเพลินกับการเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีต่างๆ ตลอดจนสัมมนาหลากหลายหัวข้อที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นตลาดการค้าเนื้อหมูในช่วงสัปดาห์การจัดวิฟ เอเชีย

 

การประชุม  GFFC ครั้งที่ 6 โดย IFIF จัดขึ้นก่อนหน้างาน VIV ASIA 2019    

ปีนี้งานวิฟ เอเชีย ได้ร่วมมือกับสหพันธ์อุตสาหกรรมอาหารสัตว์นานาชาติ (International Feed Industry Federation) คุณ Ruwan Berculo ผู้อำนวยการ VIV Worldwide กล่าวว่า “การประชุมนานาติ Feed & Food Congress ครั้งที่ 6 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม 2562 ภายใต้หัวข้อ “คุณพร้อมแล้วหรือยังกับอนาคตของเมล็ดพันธุ์สำหรับอาหารสัตว์” ซึ่งจะมีการเชิญผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์และห่วงโซ่อาหารมารวมตัวกัน นับเป็นการเชื่อมโยงที่ดีกับงาน วิฟ เอเชีย ทั้งในส่วนขององค์ความรู้ใหม่ๆ สำหรับอุตสาหกรรม ตลอดจนการรวมตัวกันของเหล่าผู้เชี่ยวชาญและผู้เข้าชมงานที่จะมารวมตัวกันที่กรุงเทพ ประเทศไทยในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้”

 

www.viv.net

 

VIV Worldwide:

VIV ASIA 2019             จัดขึ้นที่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย                  วันที่ 13-15 มีนาคม 2562

VIV Russia 2019          จัดขึ้นที่ มอสโคว ประเทศรัสเซีย                วันที่ 28-30 พฤษภาคม 2562

VIV MEA 2020              จัดขึ้นที่ อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์     วันที่ 9-11 มีนาคม 2563

“โคคา-โคลา” จับมือ “ดอยคำ” ร่วมสนับสนุนเกษตรกรไทย

กรุงเทพฯ, 8 ตุลาคม 2561 – กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ประกอบด้วย บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความร่วมมือกับบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ร่วมสนับสนุนผลผลิตในประเทศ ด้วยการใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทยที่ผ่านการคัดสรรคุณภาพจากดอยคำ มาเป็นส่วนผสมในสองผลิตภัณฑ์ใหม่จากน้ำผลไม้พร้อมดื่มมินิทเมด ได้แก่ มินิทเมด น้ำมะเขือเทศผสมเนื้อส้ม และมินิทเมด น้ำรสเสาวรสผสมน้ำผึ้งและมะนาว โดยเป็นความร่วมมือครั้งแรกของโคคา-โคลาในอุตสาหกรรมน้ำผลไม้พร้อมดื่มไทย ที่ชูความแกร่งของมินิทเมด ในฐานะแบรนด์น้ำผลไม้อันดับหนึ่งของโลก และดอยคำ ในฐานะแบรนด์น้ำผลไม้ซึ่งดำเนินกิจการเพื่อสังคมที่ผู้บริโภคมอบความรักและความวางใจให้เป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย ที่ร่วมกันนำเสนอผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่มที่มีส่วนผสมจากน้ำผลไม้แท้ รสชาติถูกปากคนไทยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ตอบรับเทรนด์สุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง

นายพรวุฒิ สารสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่า “โคคา-โคลา ไม่เพียงดำเนินธุรกิจโดยรับฟังความต้องการของผู้บริโภคเป็นสำคัญ แต่ยังมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนในทุกประเทศที่มีการดำเนินธุรกิจ การได้ร่วมมือกับบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ในการส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเกษตรกรชาวไทย โดยที่น้ำผลไม้พร้อมดื่มมินิทเมด ซึ่งเป็นแบรนด์น้ำผลไม้อันดับหนึ่งของโลก ทำการจัดหาสินค้าจากผู้ผลิตในท้องถิ่น (Local ingredient source) นำมาผสมผสานกับน้ำส้มนำเข้าจากมินิทเมด ซึ่งคัดสรรจากแหล่งคุณภาพ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์มินิทเมด น้ำมะเขือเทศผสมเนื้อส้ม และมินิทเมด น้ำรสเสาวรสผสมน้ำผึ้งและมะนาว ยังตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย”

จากเทรนด์สุขภาพที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง โคคา-โคลา จึงเดินหน้านำเสนอนวัตกรรมเครื่องดื่มที่ช่วยขยายพอร์ตโฟลิโอให้สนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภค ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศไทย และสะท้อนการเป็นบริษัทเครื่องดื่มเต็มรูปแบบอย่างแท้จริง

จากข้อมูลที่ได้รับจากดัชนีค้าปลีกของเดอะนีลเส็นคอมปะนี (ประเทศไทย) แบรนด์น้ำผลไม้พร้อมดื่มมินิทเมดครองส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 11.5 ของตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มในประเทศไทยที่มีมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท และภายใต้ความร่วมมือนี้ โคคา-โคลา จะทำการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร คือ มะเขือเทศ และเสาวรส จากเกษตรกรส่งเสริมของดอยคำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำผลไม้พร้อมดื่ม มินิทเมด สองรสชาติใหม่

นายพิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด กล่าวว่า “ดอยคำ เป็นหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบกิจการเพื่อสังคมมากว่าครึ่งศตวรรษจวบจนปัจจุบัน อันเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงก่อตั้ง บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ด้วยแนวคิด “เกษตรเพื่อชุมชน ผลิตผลเพื่อคนไทย” มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการส่งมอบผลิตผลทางการเกษตรที่มีคุณภาพ และถือเป็นความภาคภูมิใจของดอยคำ ทั้งน้ำมะเขือเทศ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ในตลาด และน้ำเสาวรส ที่ได้รับความนิยมสูงจากผู้บริโภค โดยความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นการส่งเสริมภาคการเกษตรของประเทศ และที่สำคัญคือจะทำให้เกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความกินดี อยู่ดี อย่างยั่งยืน สมดังพระราชปณิธานของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 พระผู้ทรงก่อตั้งบริษัทฯ”