มอนเดลีซยกระดับศักยภาพฐานการผลิตในไทย เสริมแกร่งการเป็นศูนย์กลาง การผลิตลูกอมและหมากฝรั่งที่ใหญ่ที่สุดของมอนเดลีซครอบคลุมสามภูมิภาคทั่วโลก

กรุงเทพฯ, 21 พฤศจิกายน 2561

บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านขนมและของว่างระดับโลกเปิดโรงงานมอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เป็นครั้งแรก ให้คณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตลูกอมและหมากฝรั่งแบรนด์ระดับโลก ด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอันล้ำสมัย อาทิ ฮอลล์ เดนทีน และคลอเร็ท เพื่อจำหน่ายในประเทศไทย และอีกหลายแบรนด์ดังชั้นนำของโลก เพื่อส่งออกไปยัง 15 ประเทศในตลาดเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

โรงงานมอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เริ่มดำเนินการผลิตเมื่อ พ.ศ. 2550 นับเป็นโรงงานผลิตลูกอมและหมากฝรั่งที่ใหญ่ที่สุดของมอนเดลีซในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา มีพนักงานกว่า 680 คน เป็นฐานการผลิตลูกอมและหมากฝรั่งแบรนด์ระดับโลกกว่า 200 ผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ฮอลล์, เดนทีน, คลอเร็ท, ไทรเด้นท์ และ สไตรด์ เป็นต้น และมีศักยภาพใน
การผลิตมากกว่า 39,000 ตันต่อปี แบ่งเป็นลูกอม 60 เปอร์เซ็นต์และหมากฝรั่ง 40 เปอร์เซ็นต์ เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปยัง 15 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาครอบคลุมตลาดอาเซียน ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแอฟริกาใต้ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการลงทุนเพื่อขยายและพัฒนาสินค้าใหม่แบบครบวงจร และมีระบบการจัดการด้านคุณภาพและมาตรฐานการผลิตในทุกขั้นตอนตามกฎหมาย ข้อจำกัด และมาตรฐานของแต่ละประเทศที่ส่งออกไปอย่างเคร่งครัด

นายจิรพงษ์ เจริญศรี ผู้จัดการโรงงาน บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ด้วยมาตรฐานและเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้าด้วยนวัตกรรมด้านการผลิตอาหารและความปลอดภัยที่ได้การรับรองในระดับสากล โรงงานลาดกระบังยังได้นำระบบ IL6S (Integrated Lean – 6 Sigma) มาใช้บริหารจัดการการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการฝึกอบรมและพัฒนาความสามารถของพนักงาน รวมถึงการนำเทคโนโลยี ระบบออโตเมชัน และคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ เพื่อเป้าหมายในการสร้างเสริมศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลผลิต และคุณภาพสูงสุด ในขณะที่สามารถกำจัดความสูญเสียอย่างมีระบบ ลดต้นทุนและความผิดพลาดให้ได้มากที่สุด ซึ่งโรงงานลาดกระบังเป็นหนึ่งในโรงงานต้นแบบและศูนย์กลางการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพพนักงานมอนเดลีซในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา”

อีกหนึ่งจุดเด่นของโรงงานมอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง คือ พันธกิจใน
การขับเคลื่อนสู่การเป็นโรงงานสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและกระตุ้นการมีส่วนร่วมของพนักงานเพื่อลดการใช้พลังงาน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โรงงานแห่งนี้สามารถลดอัตราการใช้พลังงานได้กว่า 37 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
ไดออกไซด์ได้ถึง 64 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 14,220 ตันต่อปี (เทียบได้กับต้นไม้ถึง 1.4 ล้านต้น) และลดต้นทุนการผลิตได้กว่า 81 ล้านบาท นอกจากนี้ โรงงานของมอนเดลีซที่ขอนแก่นยังเป็นโรงงาน
แห่งแรกของมอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย

รพ.ศิริราช รับมอบเงินสมทบกองทุนเพื่อผู้ป่วยเรื้อรัง จากโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล รับมอบเงินรายได้ จำนวน 381,999 บาท จากการจัดงานวันไข่โลกครั้งที่ 5 จัดโดยโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง (เมื่อ 12 ตุลาคม 2561) เพื่อสมทบเข้ากองทุนศิริราชมูลนิธิ “เพื่อผู้ป่วยเรื้อรัง” สำหรับนำไปใช้ประโยชน์ในงานวิจัยเพื่อหาสาเหตุและพัฒนานวัตกรรมในการรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป โดยมี นางณัฐกานต์ พันธ์ชัย กรรมการและเลขานุการโครงการฯ เป็นผู้แทนมอบ ร่วมด้วยผู้แทนกรมปศุสัตว์ กรมอนามัย และเจ้าหน้าที่รพ.ศิริราช ณ ตึกอำนวยการ รพ.ศิริราช เมื่อเร็วๆ นี้

Food Equipment Manufacturer tna Opens New Australian Manufacturing Facility to triples Production Capacities

Melbourne, Australia, 15 November 2018

Food processing and packaging equipment manufacturer tna has officially opened a brand new, state-of-the-art Australian manufacturing site to support the global demand for its high performance food packaging solutions. Located in the Melbourne suburb of Boronia, the new factory will allow tna to triple the manufacturing capacities for its cutting-edge equipment, including its flagship vertical form fill and seal (VFFS) packaging system, the tna robag®.

The new facility will house some of the latest manufacturing technology to ensure that tna maintains the high quality build standards its equipment is known for. In addition, the new site will incorporate a brand new training and demonstration center to provide customers and new staff with an opportunity to experience tna’s cutting-edge equipment in a live operational environment. In combination with tna’s wide range of on-site and online training programs, the new training facility will help customers improve workplace safety, reduce downtime, enhance operational efficiencies and maximize the lifespan and performance of their tna solution.

“tna’s growth has been incredible over the years,” comments Alf Taylor, managing director and co-founder, tna. ”We’ve come a long way since we opened our first factory in Melbourne in 1986. Since then, the demand for our integrated packaging solutions has increased rapidly. In fact, we’ve just sold 84 integrated packaging systems in a single month, which are all due for delivery in early 2019. Thanks to our new site, we’ll not only easily be able to meet such a high-volume orders, but also gain the capacity to expand our operations even further in the future. We’re really proud of our new Australian manufacturing facility and can’t wait to welcome everyone at the new site!”

The opening of the new manufacturing site in Australia follows the opening of a food processing center in the Netherlands, which is dedicated to tna’s cutting edge processing equipment, including its range of fryers and freezers, but also pre-processing equipment such as peelers, washers and dryers. This adds to recent openings of new and expanded offices and resource centers in Tokyo, Bangkok, Dubai, Moscow and Mexico.

First Krones NitroHotfill line in China

In the shape of the NitroHotfill process, Krones is offering an attractively cost-efficient alternative to the conventional hotfill process. Danone is now the first company in China to adopt the meanwhile field-proven method, and has retrofitted NitroHotfill to a line at its facility in Wuhan. Commissioned back in 2013, the line features a Contiform H 20 (Heatset), a Modulfill VFJ filler and a Sleevematic labeller, and has been dimensioned for 32,000 containers per hour.
Retrofitting the line with the NitroHotfill process creates numerous advantages for Danone, since Krones’ NitroHotfill technology scores highly in terms of material savings for the PET bottle, reduced blow-moulding air consumption, improved performance in the stretch blow-moulding process and an increased output from the line as a whole. Depending on the preform and bottle material being used, plus the disparate starting parameters like filling temperature, bottle design, design stipulations for styling and closure, material savings of up to 30 per cent can be achieved compared to the classical Heatset process. The Relax-Cooling (RC) technology also enables the flushing air consumption to be substantially reduced. This is the result of a lower flow rate and a shortened flushing time. Air recycling with the Air Wizard system contributes towards downsizing air consumption still further
In future, the line will be used to bottle two varieties of RTD tea: Mate Rose green tea and Rooibush Berry black tea.
When it came to designing the bottle, Danone was assisted by the specialists of the Plastics Design and Consulting Department at Krones Taicang. Thanks to the NitroHotfill process, panels could be dispensed with. The result is an elegant shape that is strikingly emphasised by the sleeve label, and thus constitutes a genuine eye-catcher on the supermarket shelves.

Gut Health & Well-being Ingredients by DKSH (Thailand)

Bangkok, 16 November 2018

บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ Sensus ผู้ผลิตอินนูลิน ไฟเบอร์จากชิคอรีชั้นนำของโลกจากประเทศเนเธอร์แลนด์ และ Morinaga ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม ประเทศญี่ปุ่น ได้จัดงานสัมมนาภายเรื่อง “Gut Health & Well-being Ingredients” ณ ดิ แอทธินี โฮเทล เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้และแนวทางการเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ที่ดี

Morinaga ได้เผยถึงผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสายพันธุ์บิฟิโดแบคทีเรียที่อาศัยในร่างกายมนุษย์ (HRB) โดยพบสายพันธุ์ที่โดดเด่นในกลุ่มนี้คือ Bifidobacterium longum ssp. longum (BB536) ซึ่งคัดแยกได้จากทางเดินอาหารของเด็กทารกที่มีสุขภาพดีขณะยังกินนมจากแม่ เชื้อจุลินทรีย์ B. longum ssp. longum (BB536) จัดเป็นโพรไบโอติกส์สายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งผลการวิจัยพบว่าสายพันธุ์ดังกล่าวสามารถช่วยป้องกันและลดภาวะท้องผูกโดยการปรับปรุงความสามารถของลําไส้จึงทำให้ระบบขับถ่ายมีสุขภาพที่ดี

ทางด้านผู้ผลิตอินนูลิน Sensus ได้เผยถึงคุณประโยชน์ของอินนูลินต่อร่างกายมนุษย์ว่า “อินนูลินจัดเป็นพรีไบโอติกส์ชนิดหนึ่งที่มีส่วนช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ ปรับสมดุลของสุขภาพลำไส้ ควบคุมน้ำหนัก ลดการเหวี่ยงของปริมาณน้ำตาลในเลือดจึงส่งผลดีต่อผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้อินูลินยังช่วยลดปริมาณคอเลสเทอรอลจึงลดความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ รวมถึงโรคเมตาบอลิกซินโดรม” อย่างไรก็ตาม อินนูลินจัดเป็นไฟเบอร์ที่พบได้ในพืชหลายชนิดรวมถึงชิคอรี โดยไฟเบอร์จากชิคอรีหรือสารสกัดจากชิคอรีนั้นได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นแหล่งของอินนูลินซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์

ในโอกาสนี้ได้รับเกีรติจาก ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้อำนวยการสำนักอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข กล่าวบรรยายเสริมในหัวข้อเรื่อง แนวทางการอนุญาตการกล่าวอ้างทางสุขภาพของประเทศไทย ร่วมด้วยการบรรยายโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อาณดี นิติธรรมยง นายกสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารเเห่งประเทศไทย (FoSTAT) ในหัวข้อเรื่อง การศึกษาวิจัยทางด้านพรีไบโอติกและประโยชน์ทางสุขภาพ อีกทั้งภายในงานยังได้มีการจัดแสดงตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเสริมสุขภาพที่มีการใช้พรีไบโอติกส์และโพรไบโอติกส์จากต่างประเทศมากมาย โดยได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

DKSH (Thailand) Limited in collaboration with Sensus, a leading supplier of chicory root fiber, with it’s head office in the Netherlands and Morinaga, a leading producer and seller of dairy products in Japan successfully held the seminar on “Gut Health & Well-being Ingredients” at The Athenee Hotel to provide target customer the benefit of good bacteria in human gut health and how to have good gut health.

The Bifidobacterium longum ssp. longum (BB536) strain started from Morinaga’s research, which is isolated from the digestive tract of healthy infants while still breastfeeding. In Japan, B. longum ssp. longum (BB536) is the most popular probiotic species used in dairy industry. It is also found that the strain can help to prevent and reduce constipation by improving the ability of the intestines to make the digestive system healthy.

Sensus, a leading supplier of chicory root fiber revealed the benefits of Inulin to the human health that “Inulin is a prebiotic that helps to increase the beneficial gut bacteria. It also improves your digestion naturally, weight control, minimize blood sugar swings and control your sugar levels of diabetes people. Inulin also reduces the amount of cholesterol, thus reducing the risk of hypertension and heart disease as well as metabolic syndrome.” Inulin is a type of fiber found in certain plant foods including Chicory root which is the main source of inulin. Chicory root fiber or Chicory root extract is a scientifically proven source of inulin, which is beneficial for human health.

The seminar was honored by Ms. Supattra Boonserm, Director, Bureau of Food, Food and Drug Administration, Ministry of Public Health to deliver the health claim in Thailand. Moreover, the knowledgeable and experienced guest speakers included Assistant Professor Anadi Nitithamyong, Ph.D., President of Food Science and Technology Association of Thailand (FoSTAT) to share about prebiotics for health.
All interested attendee to the seminar also received knowledge and broaden their experiences by tasting samples of functional food and supplement products from many countries.

DITP ชี้โอกาสน้ำตาลไทย หลังรัฐบาลเมียนมาอนุญาตธุรกิจนำเข้าเพื่อส่งออกน้ำตาลอีกครั้ง

 

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เผยรัฐบาลเมียนมาได้กลับมาอนุญาตการ Re-export น้ำตาล หลังจากที่สั่งระงับไป แนะผู้ส่งผลิตและผู้ค้าน้ำตาลในประเทศไทยเร่งบุกตลาด มั่นใจขยายตลาดได้เพิ่มแน่นอน

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง ได้รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561 รัฐบาลเมียนมาได้กลับมาอนุญาตการ Re-export น้ำตาล หลังจากที่สั่งระงับไปส่งผลให้ธุรกิจน้ำตาลกลับมาสร้างรายได้และเพิ่มปริมาณการจ้างงานในประเทศเมียนมามากขึ้นทธุรกิจด้านการ Re-export น้ำตาลถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากราคาขายสำหรับการ Re-export น้ำตาลมีมูลค่าสูงถึง 600 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งสูงกว่าการนำเข้าน้ำตาลของประเทศเมียนมาที่มูลค่าเพียง 480 เหรียญสหรัฐ/ตัน

ทั้งนี้ รายการปริมาณการนำเข้าน้ำตาลนั้นต้องสอดคล้องกับปริมาณน้ำตาลที่จะทำการส่งออกต่อไปโดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตทุกรายต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดเกี่ยวกับการนำเข้าและ Re-export หากผู้ประกอบการรายใดนำเข้าน้ำตาล ผ่านระบบ Re-export เพื่อขายภายในตลาดเมียนมาจะถูกดำเนินการทางกฎหมาย

ในปี 2558-2559 กระทรวงพาณิชย์เมียนมา ได้มีการอนุญาตให้ผู้ประกอบการเมียนมาสามารถ Re-export สินค้าน้ำตาล ทำให้เมียนมามีการส่งออกน้ำตาลมากกว่า 70,000 ตัน มูลค่า 394 ล้านเหรียญสหรัฐ และ ในปี 2559-2560 การส่งออกน้ำตาลมีมูลค่าพุ่งสูงกว่า 2,000,000 ตัน มูลค่า 1.12 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยผู้ประกอบการเมียนมานั้นมีการนำเข้าน้ำตาล จากประเทศไทยและอินเดียเป็นหลัก โดยน้ำตาลเหล่านี้ จะถูกส่งต่อไปยังประเทศจีน เนื่องจากคุณภาพของน้ำตาลที่ผลิตในประเทศเมียนมานั้นยังไม่ได้มาตรฐานเพียงพอสำหรับการส่งออกได้ จนกระทั่งมีการถูกระงับการอนุญาต Re-export น้ำตาลไป เมื่อวันที่ 22กันยายน 2017

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง กล่าวเสริมว่า น้ำตาลถือเป็นสินค้าเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย และเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกหลักไปยังประเทศเมียนมาเพื่อ Re-export ต่อไปยังประเทศจีน แต่หลังจากที่ได้มีการระงับการออกใบอนุญาต ในการ Re-export สินค้าน้ำตาลชั่วคราว ทำให้ยอดการส่งออกทั้งในประเทศไทยและประเทศเมียนมาต่างลดลง ดังนั้น การกลับมาอนุญาตการ Re-export น้ำตาลอีกครั้ง เป็นผลดีต่อผู้ผลิตและผู้ค้าน้ำตาลในประเทศไทยที่ส่งออกไปยังประเทศเมียนมา

สนใจส่งออกน้ำตาลไปเมียนมา ติดต่อ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครย่างกุ้ง
อีเมล์ ditpyangon@gmail.com หรือโทรสายตรงกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 1169

กรมการค้าต่างประเทศเป็นสักขีพยานลงนาม MOU การผนึกกำลังร่วมวิจัยของบริษัทบุญ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดันสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยสู่สากล

กรุงเทพฯ, 9 พฤศจิกายน 2561 – นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการค้าต่างประเทศได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วมมือระหว่างบริษัท บุญ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ณ ห้องประชุม 802 สถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรม (APi) ในการสร้างความร่วมมือด้านการทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้าน Flavour กลิ่นรสอาหาร ภายใต้โครงการพัฒนากลิ่นรสด้วยกระบวนการชีวนวัตกรรม (Flavour throughout Bioinnovation) เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการผลิตสารให้กลิ่นรสอาหารในประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยความร่วมมือนี้เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินการภายใต้โครงการ API Connect ของสถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรม กรมการค้าต่างประเทศ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับหน่วยงานวิจัย ซึ่งนอกจากจะเป็นการยกระดับการพัฒนาสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยให้ได้มาตรฐานที่มีพื้นฐานของข้อมูลและงานวิจัยรองรับแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้งานวิจัยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ หรือที่เรียกว่า “Market-led Research” มากยิ่งขึ้น

นายปิยะ บุญนำกิจสวัสดิ์ ประธานบริษัท บุญ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันแม้ประเทศไทยจะเป็นผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลกก็ตาม แต่ยังคงต้องการการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สารให้กลิ่นรสสำหรับอาหาร เนื่องจากเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการผลิตอาหาร ใช้เพื่อสร้างสรรค์รสชาติใหม่ และทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งประเทศไทยยังพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด โดยมีมูลค่าการนำเข้าปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท และยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากเหตุผลดังกล่าว บริษัท บุญ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญและดำเนินธุรกิจด้านกลิ่นรสอาหารร่วมกับต่างประเทศมานานได้มองเห็นศักยภาพของผลิตผลทางการเกษตรของไทยที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสารให้กลิ่นรสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้สร้างโรงงานและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลิ่นรสอาหารภายใต้แบรนด์ “BOON FLAVOUR” ซึ่งเป็นนวัตกรรมสินค้าเกษตรที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม เปิดมุมมองใหม่ให้กับสินค้าเกษตรของไทย สร้างจุดเด่นในการแข่งขัน และสามารถขยายผลเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืน สำหรับการพัฒนาในด้านนี้ต้องอาศัยนวัตกรรมและความร่วมมือจากหน่วยงานเฉพาะทาง เพราะกลิ่นรสในอาหารไม่เพียงแต่เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์รสชาติใหม่ที่มีเอกลักษณ์ให้กับอาหารเท่านั้น แต่ยังสามารถสะท้อนอัตลักษณ์ของความเป็นไทยและอาหารไทยได้อีกด้วย ซึ่งความสำเร็จในอนาคตของโครงการวิจัยภายใต้ความร่วมมือนี้จะสามารถเพิ่มศักยภาพของการพัฒนาผลิตภัณฑ์การเกษตรของไทยในการผลิตสารให้กลิ่นรสอาหารที่มีเอกลักษณ์ เป็นนวัตกรรมสินค้าเกษตรเพื่อการเพิ่มมูลค่าที่ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมอาหารของไทย ซึ่งคงจะต้องทำงานร่วมกับสถาบัน APi อย่างใกล้ชิดต่อไป

ทั้งนี้ รศ. ดร.สิทธิวัฒน์ เลิศศิริ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่าโครงการพัฒนากลิ่นรสด้วยกระบวนการชีวนวัตกรรมนั้นจะมีฐานการปฏิบัติการอยู่ที่กลุ่มสาขาวิชาชีวนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพอัจฉริยะ (School of Bioinnovation and Bio-based Product Intelligence) มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีปัจจัยสนับสนุนการวิจัยในการผลิต Flavour ตั้งแต่ต้นน้ำ เริ่มจากการผลิตพืชวัตถุดิบให้มีสารให้กลิ่นรสในปริมาณสูงด้วยระบบ Plant Factory ที่ทันสมัย ควบคุมคุณภาพได้ ซึ่งเป็นการเกษตรแนวใหม่ที่ทางคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีความร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกที่มหาวิทยาลัย Chiba ประเทศญี่ปุ่น โดยคณะวิทยาศาสตร์เองได้พัฒนาองค์ความรู้เรื่องการสร้างสารให้กลิ่นรสโดยเชื้อจุลินทรีย์ การวิเคราะห์สารให้กลิ่นรสด้วยเทคนิคชั้นสูง วัสดุเพื่อการรักษากลิ่นรสให้คงตัว ตลอดจนผลของกลิ่นรสที่มีต่อระบบประสาทและร่างกาย เป็นต้น ซึ่งเป็นโครงการที่มีความร่วมมือด้านวิจัยกับหลายหน่วยงานทั้งในคณะฯ และส่วนงานอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยมหิดล ได้แก่ สถาบันโภชนาการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นต้น ในโอกาสนี้ คณบดี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า คณะวิทยาศาสตร์มุ่งเป้าหมายในการเป็นสถาบันหลักของประเทศด้านการศึกษา วิจัย และบริการวิชาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้สังคมประจักษ์ถึงความสำคัญของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาสังคมและผลักดันระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (Value-based Economy) ตามนโยบาย Thailand 4.0 ดังนั้น คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงมีความร่วมมือทางด้านงานวิจัยและการสร้างนวัตกรรมกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และ SMEs รวมทั้งการสร้าง Deep-tech Startup ต่างๆ คณะวิทยาศาสตร์ ได้เร่งสร้างปัจจัยเกื้อหนุน อาทิ การสร้างระบบสนับสนุน Startup คือ โครงการ VentureClub@MUSC ช่วยในการนำองค์ความรู้จากการวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ของอาจารย์และนักศึกษาไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ สร้างเป็นนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อไป

พาณิชย์เดินหน้าขยายตลาดข้าวทั่วโลก รองรับผลผลิตฤดูกาลใหม่เป็นไปตามนโยบายการตลาดนำการผลิต

12 พฤศจิกายน 2561

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าจากการที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผนึกกำลังกับกรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน กรมทรัพย์สินทางปัญญา และภาคเอกชนจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวแห่งประเทศไทยกับสมาคมโรงสีข้าวไทย ร่วมจัดงาน The International Rice and Rice Products Business Matching ระหว่างวันที่ 7-10 พฤศจิกายน 2561 โดยเชิญผู้นำเข้าจากทั่วโลกกว่า 28 ประเทศ 165 บริษัท พบกับผู้ส่งออกข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทย จำนวน 171 ราย นั้น ปรากฏว่าเกิดการจับคู่ทางการค้ามากกว่า 1,000 คู่ สามารถตกลงสั่งซื้อสินค้าทันทีภายในงานจำนวน 46.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,542 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 8.5 ข้าวที่มีการสั่งซื้อมากที่สุด ได้แก่ ข้าวขาว ข้าวหอมปทุม ข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้องชนิดต่างๆ เป็นต้น รวมยอดสั่งซื้อภายใน 1 ปี คาดว่าจะมีจำนวนมากกว่า 30,000 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

การจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาการค้าครั้งนี้ จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว ซึ่งนับเป็นมาตรการส่งเสริมตลาดเพื่อดูดซับผลผลิตในช่วงต้นฤดูและสร้างความมั่นใจด้านการตลาดให้แก่เกษตรกร ในปี 61/62 แม้ว่าราคาข้าวของไทยโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ จะมีผลผลิตจำกัดทำให้ราคาค่อนข้างสูง แต่ลูกค้าจากต่างประเทศยังมั่นใจในคุณภาพของข้าวไทย ผนวกกับการให้บริการอย่างมืออาชีพของผู้ประกอบการไทย จึงส่งผลให้ยอดการสั่งซื้อเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากการให้สัมภาษณ์ของ Ms Po Leng, Export Manager จากซูเปอร์มาร์เก็ต 759 ฮ่องกง ให้ความเห็นว่า บริษัทเน้นการจำหน่ายสินค้าคุณภาพดีที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งข้าวหอมมะลิไทยสามารถครองใจลูกค้าส่วนใหญ่ในฮ่องกงได้ดี และปีนี้ยังมีแผนขยายการนำเข้าข้าวสีชนิดต่างๆ ทั้ง ไรซ์เบอรี่ ข้าวกล้องมะลิและข้าวกล้องรวม ต่อเนื่องจากปีที่แล้วด้วย นอกจากนั้น คณะผู้ซื้อจากต่างประเทศได้มีโอกาสเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย (นาเฮียใช้) จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งทำให้ผู้นำเข้ามีโอกาสรับทราบถึงกระบวนการขั้นตอนการผลิต พร้อมทั้งการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีมาตรฐาน จึงเป็นการตอกย้ำให้ผู้นำเข้าจากทั่วโลกมีความประทับใจในคุณภาพข้าวของไทยเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับการขยายตลาดข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวในปี 2562 มุ่งเพิ่มกิจกรรมทั้งด้านออฟไลน์และออนไลน์ควบคู่กันไป อาทิ การมอบรางวัลมิตรแท้ข้าวไทยดีเด่น (Best Friend of Thai Rice Award) ให้แก่ ผู้นำเข้า/กระจายสินค้าไทยในต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายในการขยายตลาดอย่างยั่งยืน การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยร่วมกับผู้นำกระแสการค้า (Trade Influencer) ซึ่งเป็นการเจาะกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังในการบริโภคสูง ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพดี โดยเฉพาะตลาดจีน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ในขณะที่ด้านออนไลน์ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจัดกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ พิธีลงนามความร่วมมือกับ JD.com พร้อมทั้งประกาศการสั่งซื้อสินค้าข้าว ข้าวสี และผลิตภัณฑ์ข้าวจากเกษตรกร สหกรณ์ และผู้ประกอบการไทย พิธีลงนามความร่วมมือกับ King Wai Group เพื่อคัดเลือกสินค้าอาหาร อาหารสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ข้าว วางจำหน่ายในศูนย์จำหน่ายสินค้านำเข้า IMX 365 exhibition hall ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ และเว็บไซต์ KJT.com cross border e-commerce แห่งแรกของจีน 3) วางแผนการตลาดการจัดซื้อสินค้าข้าวและผลไม้ร่วมกับ Hema Fresh ซึ่งทั้ง 3 โครงการนี้จะดำเนินการได้ทันทีตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2561

New: Start-up Day at FRUIT LOGISTICA 2019 Application deadline is 19 November 2018

 

Berlin, 23 October 2018

“If you start me up – I’ll never stop.” This line from a Rolling Stones song describes the need for an incentive to get the ball rolling. FRUIT LOGISTICA now offers this incentive to young, creative and innovative companies. Focusing on the theme “Disrupt Agriculture”, the first Start-up Day event will take place on 8 February 2019 in conjunction with the leading trade fair for the global fresh produce trade.

On Friday, 8 February, Hall 9 will serve as a networking hub for start-ups and established companies across the value chain. The start-up area is the place to be for anyone interested in making contact and conducting business with start-up companies. Highlights include the Start-up Stage, where young enterprises present their pioneering business concepts, technologies and visions of the future.

All start-ups working on the development of smart solutions aimed at improving efficiency and sustainability in the fresh produce industry are invited to apply for Start-up Day. The main focus is on B2B business models and innovative technologies in the following fields: agtech, digital farming, crop science, postharvest technology, logistics/supply chain management, packaging and packing technology.

Start-up Day participation is free of charge. A final selection of applications will be made by Messe Berlin. Interested start-ups are invited to apply here before 19 November.

FRUIT LOGISTICA Berlin – 6 to 8 February 2019 Connect to Change
For further information: www.fruitlogistica.com/en/Exhibitors/Start-UpDay/

ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี…FRUIT LOGISTICA Start-up Day
ภายในงานแสดงสินค้า FRUIT LOGISTICA Berlin 2019: 6-8 กุมภาพันธ์ 2562

เปิดรับสมัครผู้ประกอบการและนักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงที่กำลังสนใจพัฒนาธุรกิจผักและผลไม้สดจากทั่วโลกให้ได้มาร่วมสัมผัสประสบการณ์และเปิดมุมมองของธุรกิจภายในงาน FRUIT LOGISTICA Start-up Day ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ภายใต้ธีม “Disrupt Agriculture”

สตาร์ทอัพหน้าใหม่ไฟแรงจะได้นำเสนอแผนธุรกิจกับนักลงทุนและนักธุรกิจระดับชั้นนำที่มีอำนาจในการตัดสินใจ เพื่อแลกเปลี่ยนโอกาสทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด ผ่านมุมมองด้านนวัตกรรมสมาร์ทฟาร์มมิ่ง เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว บรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงนวัตกรรมด้านการผลิตผลิตผลสดจากทั่วโลก

มาร่วมสร้างประสบการณ์และแสดงให้ทั่วโลกได้เห็นศักยภาพของสินค้าผักและผลไม้สดของไทย
ลงทะเบียนฟรี ตั้งแต่วันนี้ ถึง 19 พฤศจิกายน นี้ เท่านั้น…ช้าไม่ได้นะ

แบรนด์ไทยฉลองชัยชนะจากการประกวดแบรนด์ระดับโลก 2018 ที่พระราชวังเคนซิงตัน

ลอนดอน, 31 ตุลาคม 2561 – การประกวดรางวัลแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลระดับโลก ซึ่งเป็นการประกวดรางวัลที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากทั่วทุกมุมโลก โดยมีแบรนด์ 270 แบรนด์ จาก 33 ประเทศ ได้รับยกย่องว่าเป็น “Brand of the Year” หรือแบรนด์อันทรงคุณค่าของปีนี้ ภายในงานที่ถูกจัดขึ้นอย่างสวยงามและสมเกียรติ ณ ห้องโถงในพระราชวังเคนซิงตัน
โดยมีแบรนด์ระดับโลกที่ได้รับรางวัลในสาขานี้ได้แก่ Beijing Tong Ren Tang, BMW, Cartier, Club Med, JinkoSolar, Johnnie Walker, Lego, L’Oréal, Louis Vuitton, Nescafé, Rolex, Samsung, Schwarzkopf และ Yakult
ส่วนแบรนด์ไทยที่ได้รับรางวัลในปีนี้ คือ Aurora (เครื่องประดับ) Bangkok Bank (ธนาคาร) Beymen (ห้างสรรพสินค้า) Café Amazon (ค้าปลีก-ร้านกาแฟ) King Power (ค้าปลีก-สินค้าปลอดภาษี) M–150 (เครื่องดื่มชูกำลัง) Monsoon Valley (ไวน์) PTT (ปั๊มน้ำมัน) SB Square Design (เฟอร์นิเจอร์) Siam Paragon (ศูนย์การค้า) Thai Life Insurance (ประกันชีวิต) Tipco (น้ำดื่มผลไม้) Tops Market (ซูเปอร์มาร์เก็ต) และ TrueOnline ( Broadband / ISP)
ผู้ชนะจะถูกประเมินโดยใช้ 3 หลักเกณฑ์ คือ คุณค่าของแบรนด์ การวิจัยการตลาดของลูกค้า และการโหวตออนไลน์ โดยร้อยละ 70 ของคะแนนโหวตนั้นมาจากลูกค้า ซึ่งแบรนด์ในลักษณะธุรกิจเดียวกันจากประเทศเดียวกันจะมีผู้ชนะเพียงแบรนด์เดียวเท่านั้น
“รางวัลนี้ได้ร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จของแบรนด์หลายแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดมากที่สุดในโลก ด้วยค่าเฉลี่ยผู้ชนะเพียง 6 แบรนด์ต่อประเทศ ดังนั้น จึงเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่ได้รับรางวัลเหล่านี้” Richard Rowles ประธาน World Branding Forum กล่าว
ในปีนี้การประกวดถูกแบ่งออกเป็น 2 รอบ โดยมีแบรนด์จากฝั่งอเมริกาและแคริบเบียนได้รับรางวัลไปล่วงหน้าจากงานที่จัดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่นิวยอร์ก และมีลูกค้าที่เข้าร่วมโหวตในครั้งนั้นมากกว่า 230,000 คน จากทั่วโลก
“ในปีนี้มีผู้เข้าชิงรางวัลมากกว่า 4,500 แบรนด์ จาก 57 ประเทศ โดยมี 351 แบรนด์ จาก 49 ประเทศ เป็นผู้ชนะ – 81 แบรนด์จาก 16 ประเทศ ได้รับรางวัลที่นิวยอร์ก และ 270 แบรนด์ จาก 33 ประเทศ ได้รับรางวัลที่ลอนดอน บางประเทศก็ไม่ได้รางวัลกลับไปเพราะแบรนด์เหล่านั้นไม่ได้รับผลโหวตที่มากพอที่จะถึงเกณฑ์ตัดสิน” Peter Pek ประธานเจ้าหน้าที่การประกวด กล่าว
ในปีที่ 5 นี้ การประกวดได้ถูกจัดขึ้นโดย World Branding Forum ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกที่ไม่แสวงหากำไร มุ่งเน้นเพื่อที่จะยกระดับมาตรฐานการทำตราสินค้าหรือแบรนด์ดิ้ง ซึ่งองค์กรนี้ได้เป็นผู้จัดการและสนับสนุนแผนงานด้านการศึกษามากมาย ทั้งนี้ ทางองค์กรยังมีการลงข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับตราสินค้าและแบรนด์ดิ้งลงบนเว็บไซด์ขององค์กรที่มีผู้รับข่าวสารมากกว่า 23.69 ล้านคนทั่วโลก