แม่โขงสานต่อแคมเปญ Mekhong Thai Spirit Cocktails 2018 ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ต่อยอดแนวคิดเชิดชูวัตถุดิบท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทยรังสรรค์ค็อกเทลระดับโลก

 

 

กรุงเทพฯ, 1 พฤศจิกายน 2561 – Mekhong [แม่โขง] แบรนด์สุราไทยที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยและร่วมเชิดชูความเป็นไทยมาเกือบ 80 ปี เปิดแคมเปญ Mekhong Thai Spirit Cocktails 2018 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 หลังแคมเปญในปีที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จอย่างมาก เดินหน้าเฟ้นหาสุดยอดค็อกเทลสัญชาติไทยจากวัตถุดิบพื้นบ้านและสุราไทยชั้นดี ถ่ายทอดเรื่องราวความภูมิใจแห่งสยามประเทศในงานประกาศรางวัลระดับโลกที่คนในวงการร้านอาหารทุกคนต่างรอคอย MICHELIN Guide Thailand 2019 Star Revelation and Gala Dinner ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 นี้

คุณสรรศิริ ยอดเมืองเจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดสุรา บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า “แม่โขง ได้ริเริ่มจัดแคมเปญ Mekhong Thai Spirit Cocktails ขึ้นในปี 2560 เพื่อเฟ้นหาสุดยอดค็อกเทลสัญชาติไทยในการทำหน้าที่เป็นตัวแทนนำเสนอเอกลักษณ์ของสุราไทยและส่วนผสมท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในเวทีโลก แคมเปญที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยเราได้คัดเลือกค็อกเทลสัญชาติไทยอย่าง “ขุนศึก” จากร้านบ้านสุริยาศัย และ “ทอง” จากร้านเทพฯ บาร์ เป็นตัวแทนเครื่องดื่มค็อกเทลเสิร์ฟในงานประกาศรางวัลระดับโลกที่คนในวงการร้านอาหารทุกคนต่างรอคอยอย่าง MICHELIN Guide Bangkok 2018 Award Ceremony and Gala Dinner ดังนั้น สืบเนื่องจากความสำเร็จของแคมเปญในปีที่ผ่านมา แม่โขงต้องการเดินหน้าผลักดันให้ค็อกเทลสัญชาติไทยได้เป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้างมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการจัดแคมเปญ Mekhong Thai Spirit Cocktails 2018 ขึ้นเป็นปีที่ 2 โดยความพิเศษของแคมเปญในปีนี้คือ การให้ความสำคัญกับการนำวัตถุดิบท้องถิ่น หรือ Local ingredients มาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ค็อกเทลไทยร่วมกับสุราแม่โขง เชิดชูรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของวัตถุดิบของไทยและสร้างสรรค์ค็อกเทลที่ไม่สามารถหาได้ที่ใดในโลก นอกจากนั้นเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับมิกโซโลจิสต์ชาวไทยที่มีความสามารถ เราได้ขยายแคมเปญไปทั่วประเทศ จนสามารถคัดสรรค็อกเทลไทยทั้งหมด 11 ชนิด จากร้าน 11 แห่ง โดยมิกโซโลจิสต์ทุกท่านตั้งใจสร้างสรรค์ค็อกเทลสูตรพิเศษ นำเสนอเรื่องราวและเสน่ห์ของความเป็นไทยในหลากหลายมิติ ทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม รวมไปถึงประวัติศาสตร์ชาติไทย ค็อกเทลแต่ละแก้วมีรสชาติและเรื่องราวที่โดดเด่นไม่ซ้ำกัน”
“ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา แม่โขงได้เชิญชวนคนไทยร่วมกันให้คะแนนค็อกเทลที่ตนเองชื่นชอบจากทั้ง 11 ร้านดังผ่านทางเฟซบุ๊คของแม่โขงและมาจากการตัดสินของคณะกรรมการในค่ำคืนนี้ ได้แก่ คุณเดชพงษ์ กาญจนลักษณ์ Master Blender ผู้ปรุงสูตรและเจ้าของสูตรของแม่โขง คุณฟิลลิปส์ บิสชอป มิกโซโลจิสต์ชื่อดังที่คว้ารางวัล Best Bar อันดับ 1 ของเอเชียและอันดับ 3 ของโลก คุณอโน ชุ่มอินทร์จักร กูรูด้านค็อกเทล เชฟชุมพล แจ้งไพร เซเลบริตี้เชฟแนวหน้าของเมืองไทย และคุณอาริยา สมรรถไท Assistant Brand Manager บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด โดย 2 สุดยอดค็อกเทลที่ชนะการตัดสินในปีนี้ ได้แก่ ‘รินคำลำโขง’ จาก Pullman Bangkok King Power และ ‘นวล’ จาก TEP BAR จะได้ไปเสิร์ฟภายในงาน MICHELIN Guide Thailand 2019 Star Revelation and Gala Dinner ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 นี้ นับเป็นโอกาสอันดีของค็อกเทลไทยและมิกโซโลจิสต์ชาวไทย ที่จะได้แสดงผลงานของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ต่อบุคคลที่เป็นผู้นำในวงการอาหารและเครื่องดื่มจากทั่วโลก”

คุณเอกชัย คงศรี มิกโซโลจิสต์ จาก Pullman Bangkok King Power ผู้รังสรรค์ค็อกเทล ‘รินคำลำโขง’ กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ค็อกเทลแก้วนี้ว่า ‘รินคำลำโขง’ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชื่อของสุราแม่โขง นั่นก็คือ ลำน้ำโขงที่ไหลไปหล่อเลี้ยงมากมายหลายชีวิตให้เจริญเติบโตและงอกงาม กระทั่งก่อให้เกิดพืชพรรณสมุนไพรต่างๆ ในจุดที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน เริ่มจุดแรกที่สามเหลี่ยมทองคำ โดยได้นำเอาชาขึ้นชื่อ ซึ่งประกอบไปด้วยข่า ตะไคร้ ใบเตย มาผสมลงไปเพื่อสื่อถึงจุดที่แม่น้ำโขงไหลผ่านจุดแรกในประเทศไทย ต่อมาที่จังหวัดเลย ในจุดที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ก่อให้เกิดมะขามหวานเมืองเลย ซึ่งมีรสชาติดีเยี่ยม ผ่านไปจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่แม่น้ำโขงไหลผ่านประเทศไทย ก่อให้เกิดกล้วยเบรคแตก ของดีระดับห้าดาวประจำจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อนำส่วนผสมทั้งหมดนี้มาผสมเข้าด้วยกัน ทำให้ได้รสชาติที่แตกต่าง สื่อถึงความเจริญงอกงามเมื่อแม่น้ำโขงไหลผ่านไปยังจุดนั้นๆ

คุณวัชระ วโรดม มิกโซโลจิสต์จากร้าน TEP BAR ซึ่งเป็นร้านที่คว้าชัยชนะต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 กล่าวว่า ‘นวล’ คือสีของเมล็ดข้าวที่สีแล้วจนนวลพร้อม หล่อเลี้ยงชีวิตชาวไทยมากว่า 5,000 ปี ค็อกเทล ‘นวล’ จึงได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการใช้ส่วนผสมของน้ำข้าวขาวดอกมะลิ พันธุ์ 105 พันธุ์พระราชทาน เป็นสายพันธุ์ที่มีกลิ่นหอม เข้ากันได้ดีกับ “แม่โขง” The Spirit of Thailand ที่มีปลายข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบ ทำให้สัมผัสแรกมีความหอมละมุนลิ้นจากน้ำนมข้าวที่ได้จากเมล็ดข้าวที่จะต้องเก็บเกี่ยวในช่วงหลังจากดอกข้าวจะร่วง มีความหวานที่ปลายลิ้นจากน้ำหญ้าหวานซึ่งมีความหวานจากธรรมชาติ รสเปรี้ยวบางๆ จากน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวหอมมะลิสูตรลับของครัวเทพบาร์ และยังมีความหอมอร่อยของข้าวเกรียบว่าวและข้าวตังสูตรชาววังที่เคลือบบนปากแก้วให้ได้สัมผัสรสของข้าวที่ต่างบริบทกัน”

“แม่โขง ในฐานะสุราสัญชาติไทยที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี 2484 ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดความเป็นเอกลักษณ์ของไทยมาโดยตลอด ผ่านรสชาติที่มาจากวัตถุดิบและภูมิปัญญาไทย น้ำตาลจากอ้อยและปลายข้าวเหนียวถูกนำมากลั่นในวิธีแบบดั้งเดิม ผสมผสานกับสมุนไพรไทยและเครื่องเทศ ตามสูตรที่ได้รับการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนกลายเป็นแบรนด์สุราที่เป็นที่รู้จักของคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นอย่างดี เราตระหนักดีถึงบทบาทของเราในการช่วยส่งเสริมและถ่ายทอดเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้แพร่หลายในวงกว้าง จึงเป็นที่มาของการริเริ่มจัดและสานต่อแคมเปญนี้ เพื่อจุดประกายให้คนไทยมีความภาคภูมิใจในวัตถุดิบของไทย รวมถึงสุราไทยอย่างสุราแม่โขงที่สามารถนำไปรังสรรค์ค็อกเทลที่เป็นตัวแทนบอกเล่าเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งนับเป็นการสนับสนุนความสามารถของมิกโซโลจิสต์ไทย รวมทั้งยกระดับวงการค็อกเทลไทยสู่มาตรฐานระดับสากล” คุณสรรศิริ กล่าวสรุป

Ing. E. Vezzadini Uses Interroll in its Butter Packaging Machinery

Sant’Antonino, 25 October 2018 – The Italian company is the market leader for butter packaging machinery and has selected Interroll Drum Motors to help convey its delicate product on its machines. Ing E.Vezzadini & C. S.r.l.’s packaging machines are mainly used in creameries around the world, as well as by food processing companies producing cheese spread and margarine.

Packaging machines for this type of product combine precision mechanics and electronics, and the extent to which the machines can be customized is extremely high. Vezzadini products are distinguished by their premium quality and artisan manufacturing. The company’s automated machines must produce packs of butter at a rate of 100 blocks a minute. All of this has to happen with the utmost precision and the greatest possible fluidity.

Interroll, one of the world’s leading producers of high-quality key products and services for internal logistics, is providing stainless steel drum motors—certified by the European Hygienic Engineering and Design Group (EHEDG)—for the machinery used by Ing. E. Vezzadini & C. S.r.l. in Reggio Emilia, Italy.

The decision to use a drum motor from Interroll was influenced by the company’s need to make its packaging machines less bulky, more efficient and 100 percent safe with regard to hygiene. The high-efficiency Interroll Drum Motor is easy to fit, covers a vast range of services and is virtually maintenance-free. It provides the clear benefit of using less bulky drum motors in place of conventional gear motors. The fact that the motor, gearbox and bearings are housed inside the drum means that drum motors require a lot less space than other types of motors. The belt conveyor can be made more compact and installed in smaller spaces. Moreover, drum motors are considerably faster and easier to fit: On average, in fact, they can be installed in 25 percent less time than is required to install a conventional drive system with multiple components, according to a recent study by the University of Parma. Reducing the number of components results in lower costs to manufacture the belt conveyor and purchase the components themselves.

Interroll Drum Motors are perfect for use in the food industry as their IP66/IP69k rating satisfies EHEDG hygienic equipment design criteria, follows the Ecolab cleaning procedure, and complies with US Food and Drug Administration (FDA) and European Union EC 1935-2004 regulations.

Low-wear Interroll Drum Motors provide full performance even in harsh environments where water, fine dust, grit, chemical substances, fats and oils are present. They can even be subjected to high-pressure cleaning.

Moreover, thanks to their smooth, stainless steel surface and fully encapsulated hermetic structure, Interroll Drum Motors are exceptionally hygienic.
Interroll Drum Motors offer up to 78 percent efficiency in asynchronous design and as much as 83 percent efficiency in synchronous design, clearly demonstrating just how energy efficient they are. They have no protruding parts and, with their fixed external shafts, they are probably the safest motors on the market for ultramodern handling systems. Being internal, the components of the motors are protected from outside influences, which means they require almost no maintenance.

Representatives of the Ing. E. Vezzadini management expressed their satisfaction with what is considered a significant technological improvement in the prestigious company’s machines: “We have been designing and building automatic packaging machines for dairy products and cooking fats for over 60 years. Our market is the entire world; to maintain our leading position in our field, we need to focus on continuous improvement. To this effect, Interroll has enabled us to take a huge step forward, not only in terms of technology but also in terms of sustainability and quality.”

Claudio Carnino, Interroll Italy Commercial Director and Country Manager Italy, says: “Ing E. Vezzadini’s decision is yet a further confirmation of the superiority of Interroll’s Drum Motor. This also has been verified by a comparative study conducted by the University of Parma. The Interroll Drum Motors are now enabling Ing. E. Vezzadini to progress in terms of efficiency, reducing the bulkiness of its machinery and ensuring hygiene.”

วชิระภูเก็ตร่วมใจ ต้านภัยโรคอ้วน ครั้งที่ 2 “เปลี่ยนชีวิตใหม่คนอ้วน”

เมื่อเร็วๆ นี้ นพ.เฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เป็นประธานในการเปิดงานประชุมวิชาการ “วชิระภูเก็ตร่วมใจ ต้านภัยโรคอ้วน” ครั้งที่ 2 “เปลี่ยนชีวิตใหม่คนอ้วน” เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเรื่องโรคอ้วนแก่แกนนำชุมชน ผู้ป่วยโรคอ้วนและผู้ที่มีความเสี่ยงโรคอ้วนและประชาชนที่สนใจทั่วไป โดยจัดบรรยาย เรื่อง “ภัยของความอ้วนและนวัตกรรมการลดความอ้วน โดยการผ่าตัดลดน้ำหนัก” โดย นพ.สิริพงศ์ ชีวธนากรณ์กุล และ นพ.ฐากูร พูนธนานิวัฒน์กุล ศัลยแพทย์ชำนาญการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต พร้อมเสวนา ถ่ายทอดประสบการณ์จริงของผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดลดอ้วน ลดโรค ณ ห้องประชุมราชพฤกษ์ อาคารบ้านคุณพุ่มฯ ชั้น 6 โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต

Arla Foods Ingredients to launch ‘Protein Extreme’ whey shot concept Big protein, small bottle

30 October 2018

A new concept from Arla Foods Ingredients will offer manufacturers the opportunity to create the first protein shot made exclusively with whey as a protein source. The ‘Protein Extreme’ concept packs 20g of high-quality whey protein into a convenient 100ml, low-calorie serving.

Arla Foods Ingredients will showcase the concept at SupplySide West to demonstrate that it is possible to create high-protein shots exclusively with whey. Despite recent growth in global launches of protein drinks, no such product currently exists.

Anne Louise Friis, Sales Development Manager at Arla Foods Ingredients, said: “As our new concept demonstrates, it is possible to get a huge amount of high-quality whey protein into a small shot. There is currently a gap in the market for a protein shot made exclusively with whey, so this is a great opportunity for differentiation. Manufacturers who take advantage of it will be able to create ready-to-drink products that stand out from the competition and appeal to people on-the-go, as well as athletes.”

Protein Extreme is made with Lacprodan® HYDRO.365 – Arla Food Ingredients’ high-quality whey protein hydrolysate. Developed to meet the needs of athletes and gym-goers, it helps speed up muscle recovery after exercise due to its superior amino acid composition and fast absorption rate. It is also pH-flexible, allowing a range of application options, and UHT-stable, allowing easy production on a standard UHT line.

Each 100ml (3.4oz) ready-to-drink serving contains only 98Kcal. Lacprodan® HYDRO.365 provides four significant on-pack claim opportunities: high in protein, high in calcium, fat-free, and no added sugar.

Arla Foods Ingredients will showcase Protein Extreme on Booth #1252 at SupplySide West, which takes place on 8th and 9th November in Las Vegas. Also on display will be Lacprodan® TexturePro, the company’s 100% whey ingredient that ensures protein bars remain soft until the very end of their shelf life.

DITP ชี้โอกาสสงครามการค้าสหรัฐ – จีน หวังดึงฐานการผลิตจีนมาไทย

29 ตุลาคม 2561

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ชี้โอกาสผู้ผลิตสินค้าไทยที่มีศักยภาพ เร่งพัฒนาตนเองให้เป็นหนึ่งในทางเลือกของผู้ประกอบการสหรัฐที่กำลังมองหาแหล่งผลิตใหม่แทนตลาดจีน หลังสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นร้อยละ 10 และเตรียมปรับเพิ่มเป็นร้อยละ 25 ในปีหน้า
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองไมอามี พบว่าหลังการประกาศขึ้นภาษีขาเข้าของสหรัฐที่เป็นตัวจุดชนวนสงครามการค้ากับจีน และส่งผลกระทบต่อนานาประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการสหรัฐจำนวนมากพยายามย้ายแหล่งผลิตออกจากจีนทั้งที่มีการเข้าไปลงทุนเอง และที่ว่าจ้างให้ผลิต สำหรับผู้ประกอบการสหรัฐที่ว่าจ้างผลิตนั้นอาจย้ายแหล่งผลิตได้ง่ายกว่ากลุ่มที่เข้าไปลงทุนผลิตในจีนเอง และบางส่วนได้ผ่านขั้นตอนการคัดเลือกแหล่งผลิตใหม่แล้ว เว้นแต่กลุ่มที่มีแหล่งสินค้าผูกติดกับจีนหรือกำลังอยู่ระหว่างยื่นขอรับการยกเว้นจากรัฐบาล โดยผู้ประกอบการสหรัฐจำนวนมากกำลังศึกษาหาแหล่งผลิตทางเลือกใหม่จากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงเม็กซิโกที่ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มจากสหรัฐ เพราะวัตถุประสงค์หลักของการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนก็เพื่อลดปริมาณการนำเข้าสินค้าจากจีนลง จึงไม่น่าจะยอมยกเว้นให้มากนัก
“ในปี 2019 หากสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 25% ผู้ค้าปลีกบางส่วนยืนยันว่าคงต้องผลักภาระไปให้ผู้บริโภคแน่นอน หากไม่ได้รับการยกเว้น ในขณะที่ผู้ผลิตสินค้าบางรายการเริ่มผลักภาระให้ผู้บริโภคแล้ว เช่น กระเป๋าเดินทางและกระเป๋าใส่อุปกรณ์กีฬาที่ขายในสหรัฐ ซึ่งมีแหล่งผลิตจากจีนถึงร้อยละ 70 หรือสินค้าที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ต้องอาศัยแหล่งผลิตจากจีนถึงร้อยละ 84 โดยผู้ผลิตสินค้ายืนยันว่าการย้ายฐานการผลิตเป็นไปได้ยาก เนื่องจากประเทศอื่นๆ ไม่มีกำลังการผลิตหรือความสามารถการผลิตเทียบเท่ากับจีน นอกจากนี้ยังมีจักรยานที่นำเข้าจากจีนถึงร้อยล 92% เนื้อปลานิลแช่แข็งร้อยละ 85 ผู้ประกอบการชาวสหรัฐส่วนใหญ่กำลังมองหาแหล่งผลิตสินค้าและวัตถุดิบจากประเทศอื่น แต่ยังต้องคำนึงถึงสัดส่วนกำไรที่น้อยลงและความเชี่ยวชาญในกิจการนั้นๆ ด้วย” นางสาวบรรจงจิตต์ กล่าว
นางสาวบรรจงจิตต์ กล่าวเสริมอีกว่า สินค้าที่กำลังเข้าแถวรอการปรับอัตราภาษีขึ้นจากร้อยละ 10
เป็นร้อยละ 25 ในปีหน้าแบ่งตามหมวดหมู่ใหญ่ๆ ได้แก่ สารอินทรีย์เคมี ปลา สารเคมี ฝ้าย กระดาษ อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบเครื่องจักรยานยนต์ อุปกรณ์ปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อาหารพืชผัก รวมกันแล้วกว่า 5,745 รายการชนิดสินค้า ซึ่งหลายชนิดสินค้าในรายการนี้ ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ และถือเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพต้องเร่งพัฒนาตนเองให้เป็นหนึ่งในทางเลือกของผู้ประกอบการสหรัฐ ที่ยังมองหาแหล่งผลิตใหม่มาทดแทนแหล่งผลิตจากจีน
หากสหรัฐขยายกรอบการเพิ่มภาษีขาเข้าสำหรับสินค้าจีนไปยังสินค้าอื่น เช่น รองเท้าเด็ก เสื้อผ้าเด็ก ที่มีมูลค่าถึง 2.67 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ประกอบการสหรัฐก็ต้องเร่งหาแหล่งผลิตสินค้าใหม่ ซึ่งสำหรับบางรายที่ลงทุนและใช้แหล่งการผลิตจากจีนมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี การจะย้ายฐานการผลิตสินค้าต้องใช้เวลานาน หรืออาจไม่สามารถย้ายฐานการผลิตได้เลย หากมีการขยับภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 25 บริษัทเหล่านี้ก็จำเป็นต้องผลักภาระให้ผู้บริโภครับไว้ในที่สุด
นางสาวบรรจงจิตต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าได้ไม่นาน
แต่กรมส่งเสริมการค้าระหว่าประเทศ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการวางแผนจัดทำแผนยุทธศาสตร์เพื่อพลิกวิกฤตสงครามการค้าเป็นโอกาสของสินค้าไทย โดยได้สั่งการให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ศึกษาโอกาสที่ไทยจะเข้าไปทดแทนในการผลิตสินค้าที่จีนส่งไปสหรัฐไม่ได้ และสินค้าที่สหรัฐส่งไปจีนไม่ได้ รวมทั้งหาตลาดศักยภาพใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง รวมทั้งฝากถึงผู้ประกอบการไทยทั้งรายย่อยอย่าง SME และ Startup จนถึงรายใหญ่ พัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้าของไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออก เพราะเศรษฐกิจของไทยยังคงพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169

Efficient Kitchen Management…To Reduce Food Waste

ระบบการจัดการก้นครัวที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดอาหารเหลือทิ้ง

โดย: กฤชชัย อนรรฆมณี
Kritchai Anakamanee
Lean and Productivity Consultant / Trainer
kritchai.a@gmail.com

Full article TH-EN

ข้อมูลที่น่าตกใจจาก World Food Program คือ อาหารถึงหนึ่งในสามที่โลกผลิตขึ้นมาต้องกลายไปเป็นของเสียหรือขยะ ความสูญเสียนี้เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนตั้งแต่การเก็บเกี่ยว ขนส่ง โรงงานแปรรูป ผู้จัดจำหน่าย จนกระทั่งถึงผู้บริโภคท้ายสุด

แม้ว่าอีเกียจะไม่ได้อยู่ในธุรกิจอาหารโดยตรง แต่ในมุมอาหารที่มีลูกค้าใช้บริการถึง 660 ล้านคนในหนึ่งปี จากจำนวนสาขามากกว่า 400 แห่งทั่วโลก ดังนั้น สิ่งที่ตามมาคือความสูญเสียของอาหารจำนวนมหาศาลในแต่ละปีด้วย การลดความสูญเสียและการจัดการภายในครัวอย่างมีประสิทธิภาพคือปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ผมลองนำมาคิดขยายความต่อถึงความสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการจัดการที่ไม่ดี

  1. วัตถุดิบหมดอายุ เสื่อมสภาพ

– มีระบบการบริหารจัดการ Stock และจัดซื้ออย่างไร? เช่น วิธีการกำหนดจุดสั่งซื้อ ปริมาณการจัดซื้อที่เหมาะสม

  1. เตรียมอาหารมากเกินความต้องการลูกค้า

– มีวิธีการกำหนด รายการ และปริมาณอาหารที่ต้องจัดเตรียมล่วงหน้าอย่างไร? มีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อคาดการณ์ความต้องการได้ดีแล้ว?

  1. เศษอาหาร วัตถุดิบ จากการการหั่น ตัดแต่ง

– มีการพิจารณาและตรวจสอบว่าเศษอาหารที่นำไปทิ้งนั้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก?

  1. อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวใช้งานได้ไม่ดี

– มีการตรวจวัดอุณหภูมิของตู้เย็นและตู้แช่แข็งอย่างสม่ำเสมอ? เพื่อให้มั่นใจว่าอุณหภูมิอยู่ในค่ามาตรฐาน รักษาคุณภาพของวัตถุดิบได้ดี

  1. อาหารที่ลูกค้ารับประทานไม่หมด

– มีการสื่อสารความสูญเสียของอาหารที่เกิดขึ้น ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ให้กับลูกค้ารับทราบหรือไม่ ด้วยวิธีการอย่างไร?

การลดความสูญเสียทั้งหมดที่กล่าวมา ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดคือการสร้างการรับรู้จนกระทั่งกลายเป็น ความตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้คือความสูญเสียที่สามารถปรับปรุงให้ลดลงได้ จากนั้นนำไปปฏิบัติจนกระทั่งพัฒนากลายเป็นจิตสำนึกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดจำนวน Food Waste

 

The shocking information from the World Food Program is that one third of food produces in the world has become waste or garbage. The waste has been produced at every stage since harvesting, transporting, processing, distributing, and through the end consumer.

 

Although IKEA does not stay in the food business directly, about 660 million customers use the service at its food corner at more than 400 IKEA outlets each year. Consequence, it has resulted in large amount of food waste each year. To reduce food waste, “Efficient Kitchen Management” is one of the key factors, I try to think further and consider on the waste, which are resulted from ineffective management.

 

  1. Expire of raw materials, or deteriorate in quality

– How is stock management and purchasing management methods? For example, how to set the Reorder Point, the appropriate volume of purchase (Lot Size)

  1. Prepare food more than customer’s demand

– How to determine the amount and quantity of food, which should be prepared in advance? Have a systematic data analysis to anticipate the customer’s demand effectively?

  1. Food scraps, raw materials from trimming and cutting

– There should have a consideration and verified whether the unwanted parts can be used for other proposes?

  1. Inefficiency of kitchenware and appliances

– Are the temperature of the refrigerator and freezer regularly measured? To ensure that the temperature is under controlled at the standard level to maintain good quality of raw materials.

 

  1. The food that customers do not eat

– There should be a communication to tell about food waste throughout various media to inform customers whether they realize on the problem? And tell how to solve the problem?

 

To reduce all the losses as mentioned above, the first and most important step is to create acknowledgement until it has become an awareness to realize that these losses, can be reduced. Then put the awareness into action, until it has been developed into a mindset for each person as part of a way to reduce the amount of Food Waste in finally.

Aseptic Filling…A Component for Food Safety

การบรรจุแบบปลอดเชื้อ กระบวนการสำคัญด้านความปลอดภัยของอาหาร

โดย: ประวิทย์ เขียวระยับ
Prawit Khieorayab
Client Manager/Trainer
British Standard Institution (BSI)
Prawit.Khieorayab@bsigroup.com

Full article TH-EN 

การบรรจุแบบปลอดเชื้อ (Aseptic Filling) ประกอบด้วย 2 กระบวนการพร้อมๆ กัน คือ

1.การทำให้อาหารปลอดเชื้อ (Aseptic processing) อย่างต่อเนื่อง โดยใช้อุณหภูมิสูงระยะเวลาสั้นและทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว โดยอาจให้อาหารสัมผัสกับตัวกลางความร้อนโดยตรง (Direct heating) หรือใช้เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat exchanger)

2. การบรรจุแบบปลอดเชื้อ (Aseptic packaging system) ซึ่งเป็นการบรรจุและปิดผนึกอาหารที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วในบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ (Pre-sterilized container) ในสภาวะที่ปลอดเชื้อ

 

การบรรจุแบบปลอดเชื้อจึงเป็นเทคโนโลยีทางการบรรจุอาหารที่สามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพและมีโภชนาการสูงขึ้น มีอายุการเก็บที่ยาวนานในอุณหภูมิปกติ การบรรจุแบบปลอดเชื้อต้องประกอบด้วยหลักการ 3 อย่างคือ

1. อาหารต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยวิธีที่เหมาะสม โดยทำให้ปลอดเชื้อในระดับทางการค้า
2. ภาชนะสำหรับบรรจุต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น การฆ่าเชื้อด้วยความร้อน สารเคมี (ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์) หรือรังสี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของภาชนะบรรจุ
3. การบรรจุนั้นกระทำในสภาวะที่ปลอดเชื้อจนกว่าภาชนะนั้นจะบรรจุและปิดผนึกสมบูรณ์ ซึ่งการทำให้บรรยากาศมีสภาพปลอดเชื้อมี 2 วิธี คือการใช้ความร้อน หรือการใช้รังสียูวี

การบรรจุผลิตภัณฑ์ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อนิยมใช้การบรรจุในตู้ปลอดเชื้อ ซึงจำเป็นต้องควบคุมความดันภายในให้สูงกว่าภายนอกหรือสภาพแวดล้อมปกติเล็กน้อย เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของอากาศเข้าสู่ภายในบริเวณบรรจุ ซึ่งอาจนำเอาฝุ่นละอองและจุลินทรีย์เข้าสู่บริเวณบรรจุได้ นอกจากนี้ยังต้องใช้ระบบการกรองอากาศที่สามารถกรองเชื้อจุลินทรีย์ไม่ให้เข้าสู่บริเวณบรรจุได้

 

Aseptic Filling Process comprises 2 systems;

1. Continuous Aseptic Processing: the product is heated in high temperature at a short period of time before being rapidly cooled down. The food may have direct contact with a heating agent or a heat exchanger.

2. Aseptic Packaging System: Sterilized product is packed and sealed in a pre-sterilized container in an antiseptic condition.

Aseptic packaging system is a technology that offers the quality production of food with high nutrition and longer shelf life in room temperature. Though the objective is to remove microbial, the concept of aseptic packaging is different from sterilization used in can packaging. In the production of canned food, heat is used to terminate microorganism when the food is packed in a sealed container. However, aseptic packaging requires these following three principles;

1. Food must be sterilized in an appropriate way up to the commercial standard.
2. Containers must be disinfected in an appropriate way by heat, chemicals (hydrogen peroxide), or radiation. The method used depends on the type of the container.
3. Packing must be done in a sterile condition until the container is completely sealed. To sterilize the condition, heat and UV radiation is often utilized.

Packing in a sterile condition is often done inside a container, where the pressure is controlled to be higher than outside or normal environment to prevent leakage of air that could transport dust and microorganism from outside. Moreover, air filter should also be attached to prevent microbes from entering the packing area.

Two Key Processes of Creating Perfect Quality of Sauces

2 กระบวนการสำคัญเพื่อสร้างสรรค์ซอสคุณภาพเยี่ยม

โดย: หทัยภัทร ธีรศรัณย์
Hathaiphat Terasarun
Researcher
Yamamori R&D Center, Yamamori Trading Co., Ltd.
hathaiphat@yamamoritrading.com

Full article TH-EN

ในฐานะผู้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ทันต่อความต้องการของตลาดมีระยะเวลาจำกัด ดังนั้น การเตรียมกระบวนการผลิตและข้อกำหนดผลิตภัณฑ์ โดยอาศัยหลักการและทฤษฎีเพื่อควบคุมการผลิตจะช่วยให้สินค้าที่ผลิตในระดับอุตสาหกรรมมีคุณภาพเช่นเดียวกับที่พัฒนาในระดับห้องทดลอง สำหรับการผลิตซอสในระดับอุตสาหกรรม กระบวนการควบคุมคุณภาพสินค้าให้คงที่และปลอดภัยที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ “การต้มผสม” และ “การยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์”

กระบวนการต้มผสม
โดยทั่วไปการใช้ความร้อนในกระบวนการผสมซอสและเครื่องปรุงรสเพื่อลดระยะเวลาในการละลายวัตถุดิบ ในขณะที่วัตถุดิบบางชนิด เช่น สตาร์ช ต้องการความร้อนเพื่อแสดงคุณสมบัติเฉพาะตัว ซึ่งเมื่อผลิตภัณฑ์ได้รับความร้อน น้ำบางส่วนจะระเหยไป ดังนั้น สิ่งแรกที่ควรคำนึงถึง คือ น้ำหนักสุดท้ายของการต้มผสม อีกปัจจัยที่สำคัญสำหรับการควบคุมการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพคงที่ คือ การวิเคราะห์ด้านเคมี-กายภาพ โดยค่าต่างๆ ควรถูกวิเคราะห์และกำหนดตั้งแต่ระดับห้องทดลอง

กระบวนการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์
ในปัจจุบันมีนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์มากมาย แต่จากวิธีการคิดและการคำนวนที่เป็นระบบ การยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ด้วยความร้อนยังคงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

As R&D specialist’s point of view, even though there is not much time for R&D work to serve the needs in the market timely, and also to exactly replicate targeted R&D sample’s qualities in the commercial scale production, it is essential to prepare appropriate process flow chart and product specification based on reliable technical theories in advance. All processes of sauce production are delicate and important. For making stable and safe quality of product, there are two key processes: “Cooking” and “Microbial Inactivation” which have to be remarked.

Cooking Process
Basically, mixing process of sauces requires heat for less raw material dissolving time and, some kind of raw material such as starch, presenting the functions. During heating, evaporation definitely occurs; higher cooking temperature caused more evaporation. In order to make stable product quality, one essential point is that the final cooking weight must be adjusted to be 100%. If the cooking formula is 1 ton, the final cooking weight must be 1 ton. Nowadays, a tank load-scale or volume-scale is used for final weight adjustment. In case of using a volume-scale, the change of liquid volume by temperature need to be noted and set. Another point is the chemical and physical analysis data likes pH, oBrix, %NaCl, viscosity etc. All qualities concerned parameters have to be analysed and set as a product specification since developing in lab scale for ensuring the quality in commercial scale.

Microbial Inactivation Process
These days, many innovative microbial inactivation methods have been developed and introduced. However, because of its long history, the mechanism and calculation to be systematically applied, the thermal process should be the most popular method used in food industry.

Global Frozen Food Market: The Forecast through 2019

ภาพรวมตลาดอาหารแช่เยือกแข็งทั่วโลก: การคาดการณ์ถึงปี 2562

By: Refrigeratedfrozenfood
Compiled By: กองบรรณาธิการ
นิตยสาร ฟู้ด โฟกัส ไทยแลนด์
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

จากการศึกษา “ตลาดอาหารแช่เยือกแข็ง (ผักและผลไม้ มันฝรั่ง อาหารพร้อมรับประทาน เนื้อสัตว์ ปลา/อาหารทะเล และซุป” ซึ่งวิเคราะห์อุตสาหกรรมทั่วโลกในด้านขนาดตลาด ส่วนแบ่งตลาด การเติบโต แนวโน้ม และการคาดการณ์ปี 2556-2562 ระบุว่าตลาดอาหารแช่เยือกแข็งทั่วโลกเติบโตขึ้น เนื่องจากมีความต้องการอาหารที่พร้อมปรุงได้อย่างรวดเร็วขึ้น ตลอดจนมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด รวมทั้งความต้องการผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ในตลาดเกิดใหม่ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักที่อาจจะฉุดรั้งการเติบโตก็คือมาตรการแทรกแซงของรัฐบาลและกฎหมายต่างๆ

จากความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารที่พร้อมรับประทาน สะดวกสบาย ปลอดภัย และวิถีชีวิตที่วุ่นวายของผู้บริโภค ส่งผลให้ภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือครองส่วนแบ่งตลาดอาหารแช่เยือกแข็งสูงสุดของโลกในปี 2555 คิดเป็นร้อยละ 39.5 และร้อยละ 26.3 ตามลำดับ โดยเอเชียแปซิฟิกเป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น และประชากรในภูมิภาคนี้ก็มีความชื่นชอบอาหารแช่เยือกแข็งเพิ่มมากขึ้นด้วย

จากรายงาน “ตลาดอาหารแช่เยือกแข็งทั่วโลก – โอกาสและการคาดการณ์ปี 2557-2563” ซึ่งจัดทำโดยบริษัทวิจัยตลาด Allied Market Research ณ เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน ระบุว่าตลาดอาหารแช่เยือกแข็งทั่วโลกจะสร้างรายได้รวมกันกว่า 306 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2563 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4.1 ต่อปีในช่วงปี 2558-2563 ทั้งนี้ ตลาดอาหารสำเร็จรูป ซึ่งหมายรวมถึงอาหารพร้อมรับประทาน คาดว่าจะมีมูลค่ายอดขายสูงสุดถึง 112.7 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2563 ส่วนภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปจะมียอดรวมกันเกือบร้อยละ 72 ของรายได้ตลาดทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ตลาดที่กำลังพัฒนาจะมีการเติบโตที่สูงขึ้นในช่วงที่ทำการศึกษา

 

According to the study, “Frozen Food Market (Vegetables & Fruits, Potatoes, Ready-to-eat Meals, Meat, Fish/Seafood and Soups) – Global Industry Analysis, Size, Share, Growth, Trends and Forecast, 2013-2019,” the global market for frozen food witnessed growth due to the growing demand for faster-to-prepare foods, new product launches in the market and strong demand from emerging economies. However, government intervention and regulations are major restraints for the market growth.

In 2012, Europe and North America had the largest share of the global frozen food market, at 39.5% and 26.3% respectively. This dominance is driven by increased preference toward convenience foods, food safety concerns and a busy lifestyle. The Asia Pacific market is estimated to be another attractive market for frozen food because of the healthy growth rate and increasing consumer preference toward frozen food.

According to a new report published by Allied Market Research, Portland, Ore., titled, “World Frozen Food Market” – Opportunities and Forecasts, 2014-2020,” the global frozen food market will garner revenue of USD 306 billion by 2020, registering a CAGR of 4.1% during the forecast period of 2015-2020. The ready meals market, encompassing ready-to-eat foods, will account for the highest sales value of USD 112.7 billion by 2020. North America and Europe together account for nearly 72% of the total market revenue. However, developing markets will witness a significantly higher growth over the forecast period.

Post Show – FOOD & HOTEL THAILAND 2018

Full article TH-EN

 

Food & Hotel Thailand 2018 ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามอีกครั้ง โดยปีนี้จัดเสิร์ฟโซลูชันทางธุรกิจรับเทรนด์ล่าสุดสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร โรงแรม ธุรกิจบริการและการจัดเลี้ยงอันสมบูรณ์แบบ สมกับเป็นผู้นำแห่งงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมอาหารและบริการพรีเมียมระดับนานาชาติ

โดยปีนี้ได้ต้อนรับผู้เข้าร่วมชมงาน 29,021 ราย จาก 66 ประเทศทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 20 ซึ่งยิ่งส่งเสริมให้งานแสดงสินค้าในปีนี้มีความแข็งแกร่งสมกับเป็นเวทีระดับนานาชาติอย่างมาก ด้านพื้นที่จัดแสดงสินค้าก็ขยายใหญ่ขึ้นรองรับผู้ร่วมจัดแสดงสินค้า 466 ราย จาก 33 ประเทศทั่วโลก นำเสนอสินค้าและการบริการภายใต้แบรนด์ชั้นนำระดับโลกอีกกว่า 2,000 รายการ

สำหรับพาวิเลียนต่างประเทศภายในงานนั้นมีถึง 8 พาวิเลียน นำโดยพาวิเลียนจากประเทศจีน ญี่ปุ่น แอฟริกาใต้ ซึ่งต่างจัดแสดงสินค้าชั้นนำด้านนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร โรงแรม ธุรกิจบริการและการจัดเลี้ยง โดยในปีนี้ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมจัดแสดงสินค้าในรูปแบบพาวิเลียนครั้งแรก ร่วมด้วยพาวิเลียนน้องใหม่อื่นๆ ได้แก่ อิตาลี เกาหลีใต้ และโปแลนด์ ด้านประเทศเจ้าภาพก็จัดยิ่งใหญ่นำเสนอไฮไลท์สินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือภายใต้พาวิเลียน “Central E-san” และเข้าเทรนด์โกกรีนไปกับความยั่งยืนด้วยสินค้าและการบริการภายใต้กรีนคอนเซ็ปท์ในพาวิเลียน “Green Suppliers”

คุณจัสติน พาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูบีเอ็ม บีอีเอส จำกัด ให้สัมภาษณ์ถึงความสำเร็จของงานว่า “Food & Hotel Thailand 2018 ได้รับการยอมรับว่าเป็นงานแสดงสินค้าชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร โรงแรม ธุรกิจบริการและการจัดเลี้ยงอย่างแท้จริง ส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดทางธุรกิจ ตลอดจนใช้ประโยชน์จากเวทีงานแสดงสินค้านี้เพื่อนำเสนอสินค้า การบริการ และเทคโนโลยีระดับชั้นนำสู่สายตานักธุรกิจจากทั่วโลก โดยผู้ร่วมจัดแสดงสินค้าหลายรายยังวางแผนที่จะเข้าร่วมงานครั้งต่อไปในปีหน้าด้วย”

Food & Hotel Thailand 2019 จะจัดขึ้นอีกครั้งระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2562 ณ ไบเทค ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.foodhotelthailand.com, และอัพเดทความเคลื่อนไหวการจัดงานผ่านทางเฟสบุ๊ค www.facebook.com/Food & Hotel Thailand

From 5 to 8 September, Food & Hotel Thailand 2018 (FHT) once again succeeded in providing complete solutions and the latest food & hospitality industry know-how at its biggest event yet. FHT 2018 continued to position itself as the region’s leading exhibition for premium products, equipment and technology.

This year’s event held 29,021 visitors from 66 countries around the world. FHT 2018 also saw a 20% increase in potential visitors, solidifying its place as a significant international platform for the food & hospitality industry. Spanning three exhibition halls, attendees met with 466 exhibitors from 33 countries representing more than 2,000 international brands.

Eight international country pavilions showcased innovative food, beverage and hospitality products from leading nations in this sector, including China, Japan, and South Africa. This year also featured five new international pavilions: Italy, Korea, Poland and Japan. Visitors also enjoyed two new local pavilions: Central E-san, highlight food and products from Thailand’s northeastern region, and the Green Suppliers Pavilion which displayed green and sustainable products.

“FHT has proven its position once again as a leading platform for professionals in the food & hospitality industry. Businesses are able to improve their networks and increase their competitive edge by taking advantage of the premium products and the latest technologies displayed here from around the world. Exhibitors are eager to join FHT again next year as they were happy to meet and share their experiences with such a large audience of key industry professionals,” said Mr.Justin Pau, General Manager of UBM Asia (Thailand) Co., Ltd.

FHT 2019 will return from 4 to 7 September, Halls 102-104 at BITEC, Bangkok. For more information, please visit www.foodhotelthailand.com, Facebook Page www.facebook.com/Food & Hotel Thailand