Italian Packaging Machinery Continues its Growth

Modena, Italy

The Italian packaging machinery manufacturers are expected to see further 6.8% growth this year to a turnover of 7.7 billion euros.

The growth of the Italian packaging machinery manufacturers shows no sign of stopping.

According to the preliminary figures published by the Research Department of Ucima (Italian Automatic Packaging Machinery Manufacturers’ Association), the sector’s turnover is expected to see further 6.8% growth to 7.7 billion euros in 2018.

Both the Italian and international markets have contributed to these results.

In 2018, export sales surpassed a value of 6 billion euros, 6.6% up on the previous year.

According to the latest available disaggregated data relating to the first eight months of the year, the area showing the best performance is North America with 27.2% growth. The USA in particular has remained the largest market for Italian technologies with record growth of +35.4%.

In second place are Africa and Australia (+15.3%), followed by the European Union (+9.6%) and South America (+2.5%). By contrast, there have been falls in exports to non-EU Europe (-5.8%) and Asia (-2.4%).

As for the rankings of individual countries, the USA is followed by France with growth of +3.1% and Germany (+1.5%).

Italy has continued its strong performance in 2018 with revenues of 1.6 billion euros (+7.5%).

“This is in no small part due to the Industry 4.0 Plan, which has boosted the take-up of our companies’ most innovative technologies by Italian customers, although the recovery of the market is another contributing factor,” said Ucima’s Chairman Enrico Aureli.

“However, we are concerned about the economic and social policies pursued by the current Italian government, which pay scant attention to the world of production and risk marginalising Italy on the European stage,” continued Aureli.

“In 2019 we expect to see a slight slowdown in growth,” he said. “According to data processed by our Research Department, orders are expected to grow at a rate of between 1 and 1.5%.”

Applying Isotope Techniques for Identifying Adulteration of Honey

เทคโนโลยีการตรวจสอบการปลอมปนของน้ำผึ้ง

 

By:      เกียรติพงษ์ คำดี

Kiattipong Kamdee

Research Scientist

Thailand Institute of Nuclear Technology (TINT)

kiat090@yahoo.com

Full article TH-EN 

 

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งถูกนำมาใช้ประโยชน์กันอย่างมากมาย เช่น ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม อาหาร เครื่องสำอาง และใช้เป็นยารักษาโรค ในประเทศไทยนั้นก็ได้มีการนำน้ำผึ้งมาผลิตขายในเชิงพาณิชย์กันอย่างมากมาย ทั้งจำหน่ายภายในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งในแต่ละปีสามารถสร้างรายได้เป็นจำนวนมาก โดยน้ำผึ้งที่ได้นั้นมาจากหลายแหล่งของประเทศไทย ดังนั้น แหล่งผลิตจึงมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทำให้ยากแก่การควบคุมคุณภาพการผลิต ผู้บริโภคต้องการน้ำผึ้งที่มาจากธรรมชาติและเป็นน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์ การปลอมปนของน้ำผึ้งจึงถือได้ว่าเป็นปัญหาที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมน้ำผึ้งของประเทศไทย ซึ่งจะมีผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก

 

จากปัญหาการปลอมปนของน้ำผึ้งได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำผึ้งไทยอย่างมาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการค้นหาวิธีการตรวจสอบความจริงแท้และการปลอมปนของน้ำผึ้งที่มีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในระดับอุตสาหกรรม

 

พืชเป็นแหล่งกำเนิดที่สำคัญสำหรับใช้ในการปลอมปนในน้ำผึ้ง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ พืช C3 และพืช C4 โดยพืชที่อาศัยการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวัฎจักร Calvin เรียกว่า พืช C3 ซึ่งจะมีค่าไอโซโทปเสถียรของคาร์บอน-13 ต่อ คาร์บอน-12 ต่ำกว่าของพืช C4 ซึ่งตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวัฎจักร Hatch-Slack โดยน้ำผึ้งส่วนมากจะได้น้ำหวานจากพืช C3 เป็นหลัก สำหรับในประเทศไทยการปลอมปนของน้ำผึ้งจะใช้น้ำตาลจากพืช C4 ได้แก่ น้ำตาลจากอ้อยเพราะว่ามีราคาถูก

 

เทคนิคไอโซโทปเสถียรในน้ำตาลและโปรตีนในน้ำผึ้งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบการปลอมปนของน้ำผึ้งได้โดยการใช้เครื่อง EA-IRMS อาศัยเกณฑ์ที่ว่าถ้าคาร์บอน-13 ในน้ำตาลมีค่าน้อยกว่า -23.5 ‰ โดยค่า -23. 5 เป็นค่าที่ใช้อ้างอิงในการตรวจพิสูจน์ความแท้ของน้ำผึ้ง และความแตกต่างกันของค่าไอโซโทปของคาร์บอน-13 ในน้ำตาล และโปรตีนแตกต่างกันน้อยกว่า 1 ‰ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติ

 

At a present, honey products have been widely used in the ingredient of beverage, food, cosmetics and medicine. In Thailand, honey has been taken to produce in a variously commercial by distribution in domestic and abroad. In each year, they can make a lot of money for bee keepers. The origin of honey in Thailand come from many locations therefore it is very difficult to control quality production. The most consumers want to get pure and natural honey.

 

Honey adulteration is the main problem to effect honey industry of Thailand. It is very effective to reliability of consumer therefore identification of honey adulteration is very important for authentication.

 

Plants that are sources of substances used for honey adulteration can be classified as C3 and C4 plants that fix atmospheric CO2 using the Calvin (C3) cycle, and they have a lower 13C/12C ratio than C4 plants that fix CO2 using the Hatch-Slack (C4) cycle. Most of the honey-contributing C3 plants. In Thailand, adulteration of honey will be mainly used sugar from C4 plants such as sugar cane because of low price.

 

Stable isotope techniques in sugar and protein of honey samples can be applied to identify the adulteration of honey by using EA-IRMS. The standard value of d13C should be lower than -23.5 ‰ VPDB in honey and different between d13C in honey and protein should be less than 1 ‰ VPDB indicating pure honey.

 

Food and Health Claim Regulation of Thailand

อาหารกับการกล่าวอ้างทางสุขภาพตามกฎหมายของประเทศไทย

 โดย:    ดร.ชนินทร์ เจริญพงศ์

Chanin Charoenpong, Ph.D.

Former Expert in Standards of Health Products, Food and Drug Administration

Advisory board, Food Science and Technology Association of Thailand (FoSTAT)

chanin_th93@hotmail.com

 

Full article THEN

 

ในยุคปัจจุบันกระแสความตื่นตัวในการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพได้ทวีความนิยมแพร่หลายเกือบทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ทำให้มีการพัฒนา คิดค้น อาหารและส่วนประกอบของอาหารในหลากหลายรูปแบบจากพืช สัตว์ สมุนไพร จุลินทรีย์ ตลอดจนสารสังเคราะห์ เพื่อใช้ประโยชน์จากสารสกัดหรือสารสำคัญในอาหารเหล่านี้ตามความคาดหวังของผู้บริโภค และมีการส่งเสริมการแข่งขันทางการตลาดและสร้างจุดขายโดยการกล่าวอ้างสรรพคุณ คุณประโยชน์ ประสิทธิผลต่อร่างกายของผลิตภัณฑ์อาหารเหล่านี้ เช่น ช่วยในการขับถ่าย ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอล ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยควบคุมความดัน เป็นต้น

 

เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและสนองตอบความต้องการของผู้เกี่ยวข้อง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงได้ออกประกาศกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการกล่าวอ้างทางสุขภาพ (Health claim) สำหรับอาหารต่างๆ โดยอ้างอิงมาตรฐานระหว่างประเทศ อาหารที่จะกล่าวอ้างทางสุขภาพต้องขออนุญาตกล่าวอ้างต่อ อย. เสียก่อน จึงจะโฆษณากล่าวอ้างได้ มิฉะนั้นจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร ฐานแสดงสรรพคุณ คุณประโยชน์ของอาหารที่เป็นเท็จ เกินจริงหรือหลอกลวงให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญ

 

At present, global trend on consumption of health foods has been widely spread in many countries including Thailand. Therefore, development and invention of novel foods and food ingredients are playing an important role in order to fulfill consumer expectation. These food products can be in various form derived from plants, animals, herbs, microorganisms as well as synthetic substances which contain special extracted substances or active ingredients. Lately, there are market promotion and competition by claim on property, benefit and efficacy for human body of these food products for examples; helps in excretion/digestion system, helps in reduction of cholesterol, helps in immune system, helps in blood pressure regulation, etc.

 

Recently to protect consumers as well as to respond to stakeholder’s need, Thai Food and Drug Administration (TFDA), therefore, promulgated the criteria, procedure and condition on Health Claim on food products based on international guideline. Any food intended to indicate health claim statement is subject to submit an application with TFDA for approval of such claim. Otherwise, it is deemed to violate the food law as advertise property or benefit or efficacy of food which is false or exaggerate or deceptive or misleaded.

Healthy Sweetened Condensed Rice Milk…From Innovation to Commercialization

ผลิตภัณฑ์ “นมข้าวข้นหวานเพื่อสุขภาพ” ผลงานวิจัยที่ไปต่อได้จริงในเชิงพาณิชย์

 

By: กองบรรณาธิการ

นิตยสาร ฟู้ด โฟกัส ไทยแลนด์

Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

 

ดร.กฤติยา เขื่อนเพชร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการต่อยอดผลงานวิจัยเรื่องผลิตภัณฑ์จากข้าว โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ “นมข้าวข้นหวานเพื่อสุขภาพ” ขึ้น ซึ่งเป็นการต่อยอดผลงานวิจัยเรื่องผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศ ทั้งในด้านกระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการตลาด และยังสามารถไปสร้างชื่อเสียงโดยคว้ารางวัลเหรียญเงินจากเวทีการประกวดงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ระดับโลก ครั้งที่ 46 (The 46th International Exhibition of Inventions of Geneva) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มาแล้วเมื่อไม่นานมานี้

 

“นมข้าวข้นหวานเพื่อสุขภาพ” นั้นนอกจากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพแล้วยังผลิตจากวัตถุดิบข้าวหอมมะลิแท้ของไทยผสมกับพันธุ์ข้าวไทยที่มีดัชนีน้ำตาลปานกลางค่อนข้างต่ำ (Low-moderate Glycemic index) และใช้ความหวานจากน้ำเชื่อมพรีไบโอติกจากแก่นตะวัน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีสมบัติเป็นใยอาหารและสารพรีไบโอติก วัตถุดิบหลักทั้งหมดเหล่านี้อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและสารโภชนเภสัช (Nutraceuticals) อีกทั้งสามารถเพาะปลูกได้ภายในประเทศไทยด้วย

 

งานวิจัยผลิตภัณฑ์ “นมข้าวข้นหวานเพื่อสุขภาพ” แจ้งเกิดภายใต้ชื่อ สวีต-ดี (Sweet-Dee) หรือ Sweetened Condensed Rice Milk +3L ผลิตจากน้ำนมข้าวหอมมะลิผสมกับข้าวที่มีดัชนีน้ำตาลปานกลางค่อนข้างต่ำ ผ่านกระบวนการปรับปรุงรสชาติ เติมนม และน้ำเชื่อมพรีไบโอติกจากแก่นตะวัน เพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัสและความหวาน จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการระเหยน้ำ แล้วจึงบรรจุและฆ่าเชื้อแบบสเตอริไรส์เพื่อให้มีอายุการเก็บที่ยาวนาน แม้ดูเหมือนวิธีการจะไม่ซับซ้อนแต่ทั้งสูตรและกระบวนการผลิตนั้นผ่านการจดอนุสิทธิบัตรทั้งหมดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“เรามีความตั้งใจที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้นี้เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ถูกปากผู้บริโภคและตอบโจทย์ความหลากหลายของอาหารไปพร้อมๆ กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลดีในด้านสุขภาพของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยในระยะยาว” ดร.กฤติยา กล่าว

 

 

Yet, Dr.Krittiya Khuenpet, Lecturer, Department of Food Science and Technology, Faculty of Science & Technology, Thammasat University, has foreseen an opportunity to increase the value of rice product research. Following the collaboration between Kasetsart University and Thammasart University, the “Healthy sweetened condensed rice milk” has been created, which is a successful research on rice product research for the country since the processing, product development, and marketing processes. Moreover, this project has also won the silver medal at the 46th International Exhibition of Inventions of Geneva, Switzerland in recent.

 

“Healthy sweetened condensed rice milk” is not only a healthy product that is made from Thai Jasmine rice mixed with Thai rice varieties which have low-moderate Glycemic Index, while being sweet from prebiotic syrup from Jerusalem artichoke. The Jerusalem artichoke is a source of carbohydrate which was dietary fiber and have prebiotic potential. The main ingredients are also rich in nutritional values and neutraceutical supplements, while all can grow in Thailand.

 

“Healthy sweetened condensed rice milk” has been launched under the name “Sweet-Dee” or Sweetened Condensed Rice Milk +3L made from Jasmine rice milk mixed with rice low-moderate Glycemic Index, passed the taste improvement process, added milk and prebiotic syrup made from Jerusalem artichoke to increase texture and sweetness. After that, it was evaporated and then sterilized for a longer shelf life. Even though the process looks not so complicated, both the formula and the production process are patented.

 

“Intentionally, we would like to transfer this knowledge to entrepreneurs for developing new products to serve variety demand of consumers, while also respond to the development of food varieties that are good for the health of consumers in all ages and in the long run, “said Dr. Krittiya.

 

Production Technology to Minimize Trans Fatty Acids

 

เทคโนโลยีการผลิตเพื่อลดกรดไขมันทรานส์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อุทัย กลิ่นเกษร

Assistant Professor Utai Klinkesorn, Ph.D.

Department of Food Science and Technology

Faculty of Agro-Industry, Kasetsart University

Full article TH-EN

 

กรดไขมันทรานส์ (Trans fatty acids) คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัว ที่มีอะตอมของไฮโดรเจนตรงตำแหน่งพันธะคู่ในโครงสร้างอยู่ตรงข้ามกัน ทำให้โมเลกุลมีลักษณะเป็นเส้นตรง มีจุดหลอมเหลวสูง มีความคงตัวต่อการเกิดออกซิเดชัน และทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดี กรดไขมันทรานส์พบได้ทั้งในธรรมชาติ (Natural หรือ Ruminant Trans-fatty acids) และเกิดจากกระบวนการแปรรูปไขมันและน้ำมัน (Industrial หรือ Processed trans fatty acids) ซึ่งกรดไขมันทรานส์ชนิดที่เป็นปัญหากับสุขภาพ เกิดจากกระบวนการแปรรูปน้ำมันด้วยกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน หรือ Partially Hydrogenated Oils (PHOs) หากรับประทานเกินร้อยละ 1 ของพลังงานทั้งหมดที่แนะนำต่อวัน หรือเกินวันละ 2.2 กรัม โดยกรดไขมันทรานส์จะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับคอเลสเทอรอลที่ไม่ดี หรือ แอลดีแอลคอเลสเทอรอล (LDL cholesterol) และลดระดับ     คอเลสเทอรอลที่ดี หรือ เอชดีเอลคอเลสเทอรอล (HDL cholesterol) ซึ่งเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด สำหรับกรดไขมันทรานส์ธรรมชาติ ซึ่งพบในเนื้อสัตว์เคี้ยวเอื้อง นม เนย และชีส ยังไม่มีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่ามีผลเสียต่อสุขภาพ (Weggemans et al., 2004; Tarrago-Trani et al., 2006)

ก่อนหน้านี้ น้ำมันที่ผ่านการเติมไฮโดรเจนบางส่วนที่มีกรดไขมันทรานส์ จะถูกใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอดอาหารจำพวกไก่ มันฝรั่ง และโดนัต ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตครีมเทียมหรือวิปปิ้งครีม รวมทั้งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเนยเทียมหรือมาร์การีน และเนยขาวหรือชอร์ตเทนนิ่ง เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ปัจจุบัน เมื่อกฏหมายห้ามใช้น้ำมันที่ผ่านการเติมไฮโดรเจนบางส่วน ภาคอุตสาหกรรมจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันและไขมัน แทนกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเพื่อลดกรดไขมันทรานส์ แต่ยังต้องคงไว้ซึ่งคุณลักษณะที่ดีของผลิตภัณฑ์ตามต้องการ โดยเทคโนโลยีที่มีการนำมาใช้ทดแทน ได้แก่ การแยกส่วนน้ำมัน (Oil fractionation) การผสมน้ำมัน (Oil blending) การทำปฏิกิริยาอินเทอร์เอสเทอริฟิเคชัน (Interesterification) การปรับปรุงพันธุ์พืช (Plant breeding) การดัดแปรพันธุกรรมพืชน้ำมัน (Genetic modification) การทำเจลน้ำมัน (Oleogelation) และอิมัลชันโครงสร้าง (Structured emulsion) (Kodali, 2014; List, 2014)

 

Trans fatty acids are types of unsaturated fatty acids that hydrogen atoms at a double bond in the structure lined on opposite sides of the chain. As a result, the shape of the molecule is similar to a straight chain with a high melting point, more resistance to high temperature and high oxidation stability. Trans-fatty acids can be found in natural with also known as ruminant trans fatty fat, and formed during fat and oil processing, called industrial or processed trans fatty acids. Trans fatty acids that are harmful to human health caused by partially hydrogenation process or partially hydrogenated oils (PHOs). If the consumption of such trans fat is exceeding 1 percent of total energy recommended per day (generally exceeding 2.2 grams), it will raise bad cholesterol (LDL cholesterol) and lower good cholesterol (HDL). This manner can be a factor increases the risk of cardiovascular disease. For the natural trans fatty acids found in ruminant meat, milk, butter, and cheese has no research that indicates a health effect. (Weggemans et al., 2004; Tarrago-Trani et al., 2006)

 

Previously, partially hydrogenated oils which contain trans fatty acids is used for foods that require deep frying such as fried chicken, potatoes and donuts. It also used as raw material for nondairy coffee creamer or whipping cream, including butter substitutes or margarine, and shortening to be used as ingredients in bakery products. Now, when the use of partially hydrogenated oil is prohibited by law, the industry must have modified oil and fat production technology instead of partially hydrogenation process to reduce the trans-fatty acid, and also to maintain a good quality of the food products as wishes. The alternative technology includes oil fractionation, oil blending, interesterification, plant breeding, genetic modification, oleogelation and structured emulsion. (Kodali, 2014; List, 2014)

Maqui Berry and Its High Antioxidant Profile

มากิเบอร์รี่…ซูเปอร์ฟรุ๊ตใหม่ที่มาพร้อมสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูง

 

พรศิริ ศรีณรงค์

Pornsiri Srinarong

Assistant Sales and Marketing Manager

Unify Chemical Co., Ltd.

unify.saled303@gmail.com

 

Full article TH-EN

 

มากิเบอร์รี่เป็นเบอร์รี่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เนื่องจากผลของมากิเบอร์รี่มีสีม่วงเข้มถึงดำ และลักษณะของต้นเป็นพุ่มไม้ขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 3-4 เมตร เจริญเติบโตในป่าพาทาโกเนียของประเทศชิลีและบางส่วนของประเทศอาเจนติน่า นอกจากนี้การบริโภคมากิเบอร์รี่มีตั้งแต่สมัยของชนเผ่าอินเดียแดงพื้นเมืองเพราะความสามารถในการรักษาโรคตามธรรมชาติ มากิเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์สูง และมีสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่เรียกว่า แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของมนุษย์ แอนโทไซยานินแบ่งออกเป็น 6 ประเภทหลัก คือ Delphinidin, Cyanidin, Pelargonidin,  Peonidin, Petunidin และ Malvidin โดย Delphinidin จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหลักที่พบในมากิเบอร์รี่และยังให้สีม่วงเข้มแก่เบอร์รี่ชนิดนี้ ทั้งนี้มากิเบอร์รี่ยังถูกจัดเป็นซูเปอร์ฟรุ๊ต (Superfruit) ที่แท้จริงจากสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่สูงด้วยสารประกอบเฉพาะตัว

 

ประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ

การศึกษาปริมาณของสารประกอบฟีนอลิกในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ (แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ มากิเบอร์รี่ และไวน์แดง) ของ Miranda-Rottman และคณะ (2002) ด้วยการวัดศักยภาพในการดักจับอนุมูลอิสระของตัวอย่างและคำนวณออกมาเป็นความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ หรือเรียกว่าวิธี Total Radical-Trapping potential (TRAP) ผลการวัดค่า TRAP และปริมาณสารประกอบฟีนอลิกของผลไม้แต่ละชนิดจะแสดงดังรูปที่ 1 และพบว่ามากิเบอร์รี่มีปริมาณสารประกอบฟินอลลิกสูงกว่าเบอร์รี่ชนิดอื่นถึง 3 เท่า

 

Maqui berry (Aristotelia chilensis) is a unique berry, that grows on an evergreen bush 3 to 4 meters high, in the wild forests of Patagonia mainly in Chile and to a smaller extent in Argentina. This small deep purple to black maqui berry has been consumed since ancient times by indigenous Mapuche Indians because of its’ appreciated natural remedial qualities. By nature maqui berry is extraordinarily rich in many nutrients and powerful flavonoid species known as anthocyanins which are considered to be strong antioxidants and have been shown to impact overall health. Anthocyanin has been six principal types are delphinidin, cyanidin, pelargonidin, peonidin, petunidin and malvidin.  A specific category of anthocyanins in maqui berry known as delphinidins are responsible for their color. Today, next to goji or acai, maqui berries are viewed as real “super fruit” due to its superior antioxidant properties with a unique phytochemical profile.

 

Antioxidant Potency

Among maqui berry anthocyanins, especially delphinidin and cyanidin species can be found. Miranda-Rottman and colleagues (2002) assessed the phenolic content in different berry juices (blackberry, blueberry, cranberry, raspberry, strawberry, maqui berry and red wine) via the Total Radical-Trapping potential (TRAP). This measure enables to determine the amount of free radicals that can be trapped by the sample, hence providing the total antioxidants present (1). Figure 1 represents the TRAP values and total polyphenol content obtained for each berry, maqui berry juice bears a threefold higher polyphenol content in comparison with the other berry juice tested.

Eggs Confirmed as Crucial Tool for Infant Development

นักวิจัยยืนยัน…ไข่เป็นอาหารที่ดีต่อพัฒนาการของทารก

โดย/By: Jake Davies
Editor
Poultry World

แปลและเรียบเรียงโดย/Translated and Compiled By:
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ น.สพ. ดร.วิษณุ วรรณแสวง
Assistant Professor Dr. Wisanu Wanasawaeng
DVM MSc PhD DTBVP (Pathology)
Director of Poultry Diagnostic Laboratory and Food Safety
SAHA Farms Co., Ltd.
wpuy@hotmail.com

Full article TH-EN

จากรายงานวิจัยด้านโภชนาการที่ Ms.Amy Smith นักศึกษาด้านโภชนาการได้รวบรวม พบว่าไข่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก แม้ว่าจะให้แคลอรีเล็กน้อยก็ตาม

เด็กทารกในเอกวาดอร์ร้อยละ 47 ประสบปัญหาแคระแกร็น และร้อยละ 74 มีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ นักวิจัยจึงเพิ่มให้เด็กๆ บริโภคไข่วันละ 1 ฟอง

Ms.Smith กล่าวว่า แม้ว่าไข่จะให้พลังงานน้อยกว่า 70 แคลอรี แต่ไข่ประกอบด้วยโปรตีนที่มีคุณภาพสูงมาก นั่นหมายความว่า ไข่ให้กรดอะมิโนที่จำเป็นทุกชนิดที่เหมาะสำหรับเสริมสร้างการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกายมนุษย์

The report, by nutrition student Amy Smith, looked at international intervention studies, and found eggs to support child development despite having relatively few calories.

One study in the review, conducted in Ecuador, found infants were 47% less likely to be stunted and 74% less likely to be underweight when they added one egg a day to their usual diet.

Despite an egg containing fewer than 70 calories, the quality of the protein is high, she said. This means that an egg provides all the essential amino acids and protein building blocks needed for the human body to grow and develop.

Lean Supply Chain in Food Industry

โซ่อุปทานแบบลีนในอุตสาหกรรมอาหาร

 

By: วศ.สิริพงศ์ จึงถาวรรณ

Eng.Siripong Jungthawan

ASEAN Chartered Professional Engineer (ACPE)

Certified Supply Chain Professional (CSCP)

The Executive Program on Production Management (EPPM)

Lean Master

L6SSCOR@gmail.com

 

Full article TH-EN

 

 

ลองไปดูกันว่าแล้วในอุตสาหกรรมอาหารสามารถนำลีนไปใช้ในตลอดโซ่อุปทานได้อย่างไร ต้องเริ่มตั้งแต่ ฟาร์มจนถึงมือผู้บริโภค (Farm to Fork: F2F) ต้องมองให้ขาด สมาชิกในโซ่อุปทานมีใครบ้าง ตั้งแต่ผู้จัดหาวัตถุดิบขั้นที่ 2 และ 1 ผู้ผลิตหรือผู้บริการ ผู้กระจายสินค้า และลูกค้า การระบุคุณค่าของสินค้าของเราในมุมมองของลูกค้าที่จ่ายเงินซื้อสินค้าเราไปบริโภคให้ได้ก่อน จากนั้นจะเข้าไปดูในแต่ละกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กลุ่มงานวางแผน กลุ่มงานจัดหา กลุ่มงานผลิต กลุ่มงานส่งมอบ กลุ่มงานรับคืน และกลุ่มงานที่ทำให้เกิด การวางแผนอุปทานให้เหมาะสมกับอุปสงค์

 

การวางแผนหาวัตถุดิบ ตั้งแต่การหาปัจจัยการผลิต การเพาะปลูกสินค้าเกษตร พืช ผัก ผลไม้ การปศุสัตว์ อาทิ ไก่ หมู วัว ปลา เป็นต้น การทำสัญญากับแหล่งปลูก เพื่อควบคุมและแบ่งจัดสรรประโยชน์ให้ทั้งเกษตรกร และผู้ผลิตที่ได้สินค้าตรงตามคุณภาพ และราคาที่ควบคุมได้ การค้นหา และจัดซื้อวัตถุดิบให้สอดคล้องกับแผนการที่วางไว้ต้องมีแหล่งวัตถุดิบหลายๆ แห่ง เพื่อเปรียบเทียบทั้งคุณภาพวัตถุดิบ ปริมาณ จำนวน และการแบ่งซื้อว่าจะซื้อวัตถุดิบจากผู้จัดหารายใดบ้าง เพื่อตอบสนองต่อกำลังการผลิต

 

 

Let’s see how the lean concept can adopt in the food industry along the supply chain. We must begin from Farm to Fork (F2F), and completely look around the whole forest, not just a single tree. The figure shows how the members of the supply chain, from the ingredient suppliers of the second and the first tier, producers or service providers, distributors, and customers.  Firstly, we should identify the value of our products from the perspective of the customer who pays for the product. After that, we should consider on each procedure relatively including planning group (Plan: P), sourcing (Source: S), making (Make: M), delivering (Deliver: D), returning (Return: R), and enabling (Enable: E). We should plan for a suitable demand and supply. (So that the price will not fall down and farmers do not need to pour their production on the road as there is a balance between customer demand and the production).

 

Then, we must plan for material sourcing, including seeking for a raw material, planting for agricultural products that are plants, vegetables, livestock including chicken, swine, beef, and fish etc. And, we should sign a contract with a production source in order to control and divide benefits for farmers, and producers, which have quality product as demand and get the controllable price.  To find and purchase raw materials in accordance to the plan, we must have variety source of raw materials to compare on the quality, quantity, amount, and divide orders whether which suppliers we will buy for a product to respond to the production capacity.

Quick Quality Control of Olive Oil with UV/VIS Spectroscopy

การควบคุมคุณภาพอย่างรวดเร็วของน้ำมันมะกอกด้วยเครื่องสเปกโตรโฟโตมิเตอร์

 

บริษัท เมทเล่อร์-โทเลโด (ประเทศไทย) จํากัด

Mettler-Toledo (Thailand) Limited

MT-TH.CustomerSupport@mt.com

Full article TH-EN

 

น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษที่แท้จริงถูกพูดถึงว่าสามารถให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น อุดมไปด้วยวิตามิน อี สารต้านอนุมูลอิสระ และกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมเลกุลเดี่ยว เครื่องสเปกโตรโฟโตมิเตอร์ถือเป็นหนึ่งในวิธีวิเคราะห์ที่รวดเร็วสำหรับการจัดระดับคุณภาพของน้ำมันมะกอกโดยยึดตามมาตรฐานสากล และสามารถทำการตรวจวัดที่เป็นเท็จของผลิตภัณฑ์ได้อย่างน่าเชื่อถือ

 

สาเหตุที่ให้คุณภาพของน้ำมันมะกอกแตกต่างกัน

น้ำมันมะกอกที่ด้อยคุณภาพจะแตกต่างจากน้ำมันมะกอกที่มีคุณภาพสูงตรงที่สามารถพบสารประกอบที่เกิดจากการรวมตัวกันในระหว่างกระบวนการเสื่อมคุณภาพได้ซึ่ง จะดูดกลืนแสงยูวี (UV) ในช่วงสเปกตรัม 200 – 300 nmได้ดี แตกต่างจากนำมันมะกอกคุณภาพสูงที่จะดูดกลืนแส่งในช่วงนี้ได้น้อยกว่า สาเหตุของความแตกต่างนี้สามารถอธิบายได้จากการพบกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่มีโครงสร้างทางเคมีที่ต่างกันจำนวนมาก ซึ่งแทบจะไม่พบในน้ำมันคุณภาพสูงเลย อันเป็นผลให้คุณสมบัติในการดูดกลืนแสงยูวีของน้ำมันมะกอกที่ด้อยคุณภาพกับคุณภาพสูงนั้นมีความแตกต่างกันชัดเจน ทั้งนี้ ความแตกต่างดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการทดสอบคุณภาพของน้ำมันมะกอก:ด้วยสเปกโตรโฟโตมิเตอร์ โดยมีเกณฑ์กำหนดว่า  การดูดกลืนแสงต่ำระหว่าง 200 – 300 nm เป็นเครื่องวัดคุณภาพของน้ำมันบริสุทธิ์พิเศษคุณภาพสูงขณะที่การดูดกลืนสูงส่งผลให้คุณภาพของน้ำมันมะกอกต่ำลง นั่นเอง

 

True extra virgin olive oil is touted for its health benefits as it is rich in vitamin E, antioxidants and monounsaturated fatty acids. UV/VIS spectroscopy provides a fast analytical method for the classification of olive oil quality according to international standards and is able to reliably unveil product falsification.

 

What causes olive oil quality to differ?

Olive oil of low quality contains substances that are formed as a result of degradation processes, and, unlike high quality olive oil, absorbs UV light within the spectral range of 200 – 300 nm. This discrepancy is explained by the presence of unsaturated fatty acids with differing chemical structure and UV absorbance characteristics in the higher quality olive oil, where degradation compounds are hardly present. Such difference provides the basis for the spectrophotometric test examining the quality of olive oil: low absorption between 200 – 300 nm is a measure of high quality extra virgin oil, while high absorption reflects an olive oil of lower quality.

The 10th Food Pack Asia 2019 “Trend + Technology+ Innovation= Business Opportunity”

เทรนด์ เทคโนโลยี นวัตกรรมกับโอกาสทางธุรกิจ… สูตรแห่งความสำเร็จของธุรกิจปี 2562

Full article TH-EN

แวดวงผู้ประกอบธุรกิจเริ่มร้อนแรงอีกครั้งหลังต้อนรับศักราชใหม่ เต็มไปด้วย ความคิดใหม่ๆ กลยุทธ์ใหม่ๆ และเป้าหมายใหม่ๆ เช่นเดียวกันกับ Food Pack Asia 2019 ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
งานแสดงสินค้าด้านอุตสาหกรรมที่ได้รับความเชื่อถือว่าเป็นเวทีสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มระดับนานาชาติที่ได้รวบรวมทุกเทคโนโลยี บรรจุภัณฑ์ และอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องมาไว้ด้วยกันอย่างยิ่งใหญ่ โดยธีมงานในปีที่สิบนี้ คือ เทรนด์+เทคโนโลยี+นวัตกรรม = โอกาสทางธุรกิจ (“Trend + Technology + Innovation = Business Opportunity”) เพื่อขานรับกระแสความนิยมใหม่ๆ ที่ผสมผสานกัน พร้อมกับความต้องการที่หลากหลายจาก ทั้งตลาดโลกและท้องถิ่นที่ปรากฎแทบทุกแห่ง ดังที่เราต่างทราบกันดีว่ามีการนำเทคโนโลยี ใหม่ๆ มาใช้จนก่อให้เกิดกระแสนิยมใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็พัฒนาสู่นวัตกรรม ตลอดเวลา สิ่งนี้อาจยากสำหรับผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ และด้วยจิตใจนักสู้ ย่อมมีหนทางเสมอและทันทีที่พบ งานยากก็อาจกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ ที่ยิ่งกว่าคุ้มค่า ดังนั้น งานแสดงสินค้า Food Pack Asia 2019 จึงเกิดขึ้นเพื่อช่วยขยายโอกาส ทางธุรกิจสู่ความสำเร็จแก่ผู้ที่สนใจ และนำเอาผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย เจ้าของ และผู้ประกอบการ ชั้นนำที่น่าเชื่อถือจากทั้งไทยและต่างประเทศทั่วโลกในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องมาพบปะกัน ผู้เข้าร่วมในงานสามารถเรียนรู้ แลกเปลี่ยน ประสบการณ์เกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมอาหารโลก เทคโนโลยีด้าน AI ที่นำมาใช้ ในอุตสาหกรรมอาหาร และผลงานวิจัยและพัฒนาต่างๆ ที่ช่วยให้สินค้าและบริการใน อุตสาหกรรมนี้จนประสบความสำเร็จและได้รับรางวัลมากมาย

Business begins sizzling again with new ideas, new strategies and new goals, marking the fighting spirit of business communities this New Year. So is Food Pack Asia 2019, which is taking place at BITEC Exhibition Center Bang Na, Bangkok, Thailand on 13-16 February 2019.
As, in Asia, one of the most famous annual events of food, beverage and packaging industries as well as other related businesses, the 10th Food Processing and Packaging Exhibition comes out with the exciting theme “Trend + Technology+ Innovation= Business Opportunity” in respond to rising mixed trends and varieties of demand from the global and local markets in almost everywhere. As we can see that until this moment, using new technologies have quickly introduced new trends, while leading to new innovations every day. Not every business owner and operator could catch up with. But with the spirit of business players, there are always some remedies and once they notice, the tough jobs could be turned into greater business opportunities. To help generate a better chance in business, Food Pack Asia 2019 brings many more reliable top producers and distributors from Thailand and abroad together with their hundreds of thousands of high quality products and services in one place. Visitors can learn and experience about the world’s latest food business trends, AI technologies in food industry, and award-winning R&D works that add values and bring success to many food businesses already.