เอกชนขานรับ อย.เร่งแก้กฎหมาย ไฟเขียวใช้ rPET บรรจุอาหาร

ปัจจุบันอุตสาหกรรมการบรรจุหีบห่อและบรรจุภัณฑ์มีการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในด้านประสิทธิภาพ จากการนำวัตถุดิบที่ได้จากการรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ โดยเน้นความปลอดภัยของผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม หลายเสียงจึงพยายามเร่งผลักดันให้มีการพิจารณาแก้กฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้สามารถนำขวดบรรจุเครื่องดื่มที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล หรือ Recycled PET (rPET) มาใช้ได้ในประเทศไทย

นายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 295 ปี 2548 มีข้อกำหนดห้ามใช้พลาสติกรีไซเคิลสำหรับบรรจุอาหาร แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ทำให้คุณภาพของพลาสติกรีไซเคิลปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับใช้บรรจุอาหารมากยิ่งขึ้น รวมทั้งภาคเอกชนมีความต้องการนำพลาสติกรีไซเคิลมาใช้ทำเป็นภาชนะบรรจุอาหาร ที่น่าสนใจ คือ พลาสติกชนิด PET ทาง อย. จึงได้มีการทบทวนข้อกำหนดห้ามใช้พลาสติกรีไซเคิลสำหรับบรรจุอาหาร ขณะนี้ความคืบหน้ายังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาข้อมูลทางวิชาการโดยคณะอนุกรรมการด้านวิชาการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการทบทวนข้อกำหนดจะเป็นการส่งเสริมการใช้พลาสติกอย่างยั่งยืน สนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและเกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

นางสาวศลินา แสงทอง  นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการ  สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.ทบทวนกฎหมายให้เกิดการอนุญาตอย่างเหมาะสมและปลอดภัย โดยแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้แทนสถาบันการศึกษา ร่วมพิจารณาและวิเคราะห์กฎหมายกำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐเพื่อมอบทุนให้กับ 2 มหาวิทยาลัย คือ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ คณะอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดทำโครงการภายใต้พัฒนาวิธีการทดสอบและประเมินความปลอดภัย ในส่วนความคืบหน้าทั้ง 2 มหาวิทยาลัยได้ส่งมอบร่างให้ทาง อย.พิจารณา ก่อนนำไปเป็นเงื่อนไขการอนุญาตและประกอบการควบคุมกฎหมาย

“ทาง อย. ได้กำหนดขอบข่ายการประเมินตัวพลาสติกรีไซเคิล เฉพาะตัวพลาสติกที่มีกระบวนการรีไซเคิลแบบทุติยภูมิ โดยเริ่มนำร่องไปที่พลาสติกชนิด PET ก่อน เนื่องจากมีโรงงานรีไซเคิลพลาสติกชนิดนี้ค่อนข้างมาก ซึ่งหากร่างหลักเกณฑ์นี้แล้วเสร็จ จะนำไปสู่การวางกรอบแนวทางการยื่นเอกสารว่าผู้ประกอบการต้องเตรียมเอกสารหรือข้อมูลด้านใดบ้าง โดยมีค่าปริมาณการปนเปื้อนสูงสุดที่ยอมรับได้เป็นเกณฑ์การตัดสิน หากผู้ประกอบการยื่นประเมินแล้วไม่ผ่าน อย.ไม่ได้ปิดกั้น สามารถกลับมาขอยื่นเอกสารเพิ่มเติมได้”

ความคืบหน้าการทบทวนประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ป.สธ.295) เกี่ยวกับภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติก มีขั้นตอน ดังนี้ 1.คณะทำงานประชุม 5 ครั้ง เพื่อให้เกิดการกำกับดูแลการผลิตและใช้ภาชนะบรรจุจากพลาสติกรีไซเคิลตลอดห่วงโซ่ พร้อมดำเนินการ 5 ประการ ได้แก่

1.พิจารณา (ร่าง) การกำกับดูแลภาชนะพลาสติกที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล และ (ร่าง) กิจกรรมรองรับของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินโครงการพัฒนาแนวทางการประเมินความปลอดภัยของวัสดุสัมผัสอาหาร ระยะเวลาโครงการ 3 ปี เป้าหมายปีแรก คือ (ร่าง) แนวทางการประเมินกระบวนการรีไซเคิลพลาสติกและความปลอดภัยเม็ดพลาสติกรีไซเคิล

2.หาแนวทางการอนุญาต ซึ่งต้องมีการประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิล นำมากำหนดชนิดพลาสติก และประเภทภาชนะบรรจุใช้แล้วที่เป็นวัตถุดิบในการรีไซเคิล เพื่อผลิตเป็นภาชนะบรรจุอาหาร ก่อนหาแนวทางการประเมินหลักเกณฑ์และเงื่อนไข กำหนดเกณฑ์ค่าปริมาณการปนเปื้อนสูงสุดที่ยอมรับได้ใน rPET รวมทั้งหาวิธีทดสอบประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิลในการกำจัดสารปนเปื้อน และเรื่องเอกสารหลักฐานประกอบการยื่นรายงานผลการประเมินประสิทธิภาพ จากนั้นออกเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับภาคอุตสาหกรรม

3.พิจารณารูปแบบและแนวทางการประเมินประสิทธิภาพกระบวนการรีไซเคิลพลาสติกและความปลอดภัยเม็ดพลาสติกรีไซเคิล โดยเลือกใช้แนวทางการประเมินการได้รับสัมผัส เพื่อกำหนดเกณฑ์ปริมาณการปนเปื้อนสูงสุดที่ยอมรับได้ ตามแนวทางของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยต้องสำรวจข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดค่าปริมาณการปนเปื้อนสูงสุดที่ยอมรับได้ เช่น ข้อมูลสัดส่วนของอาหารที่บรรจุในวัสดุสัมผัสอาหารแต่ละชนิด (Consumption factor; CF) และความหนาภาชนะบรรจุที่มีการใช้ในประเทศไทย จัดทำเป็น (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เพื่อทบทวนข้อกำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานภาชนะที่ทำจาก Virgin PET และ rPET ทบทวนเงื่อนไขการใช้ภาชนะบรรจุ พร้อมนำ (ร่าง) แนวทางการประเมินไปพิจารณาเป็นเงื่อนไขในประกาศ

4.กำหนดรายละเอียด หลักเกณฑ์ เงื่อนไขต่างๆ ที่ต้องมีใน (ร่าง) แนวทางการประเมิน

5.พิจารณาทบทวนคุณภาพหรือมาตรฐานภาชนะบรรจุที่ทำจาก PET และ rPET

จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ อ.8+อ.7 เพื่อพิจารณาร่างประกาศ หลักการและรายละเอียดการทบทวนข้อกำหนดต่างๆ พร้อมพิจารณาเงื่อนไขและแนวทางการอนุญาตภาชนะบรรจุที่ทำขึ้นจากพลาสติกรีไซเคิล ก่อนขอข้อคิดเห็นต่อ (ร่าง) แนวทางทางการประเมิน (ร่าง) ประกาศแล้วส่งให้คณะอนุกรรมการฯ อ.2 พิจารณา พร้อมเข้าสู่ขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์และต่อด้วยการพิจารณาของคณะกรรมการอาหารและยา ก่อนเสนอร่างประกาศให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เซ็นลงนาม

ส่วนภาคอุตสาหกรรมต้องเตรียมความพร้อม หากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจต้นทางของการรีไซเคิล ต้องจัดเตรียมเอกสารหลักฐานเพื่อยื่นการประเมินและทำการทดสอบประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิลว่าผ่านตามเกณฑ์หรือไม่ สำหรับผู้ผลิตภาชนะบรรจุต้องไปเลือกโรงงานที่ผ่านการประเมิน และต้องนำเอกสารหลักฐานมายื่นยืนยันกับทาง อย.ว่าได้ใช้โรงงานที่ผ่านการประเมินแล้วจริง นอกจากนี้ อย.ยังดำเนินการคู่ขนานจัดตั้งหน่วยงานรับรองทำหน้าที่ประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิล โดย อย.อาจไม่ได้เป็นผู้ประเมินเอง แต่เป็นฝ่ายกำหนดเงื่อนไขและรับผลการประเมินนำไปพิจารณา

นายนันทิวัต  ธรรมหทัย  กรรมการบริหาร สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย กล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องเดินหน้าไปด้วยกันทั้ง Supply Chain ซึ่งหากดูราคา rPET ในตลาดโลกเวลานี้ จะค่อนข้างสูงกว่า Virgin PET อยู่พอสมควร จึงต้องยอมรับการหันมาใช้ rPET ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนที่ค่อนข้างสูง โดยหลังแก้กฎหมายคงยังไม่เห็นทุกบริษัทหันมาใช้ rPET ทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความมั่นใจผู้บริโภคที่มีต่อการใช้ rPET ว่ามีความปลอดภัย และไม่ได้มีผลกระทบต่อสุขภาพ”

นายสมศักดิ์  สิทธิชาญคุณะ  รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก  สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “เห็นตรงกับทาง อย.ว่าควรมุ่งไปการเดินหน้าสร้างมาตรฐานความปลอดภัยให้เทียบเท่าในระดับสากล รวมทั้งคำนึงเรื่องความสะอาด และสารปนเปื้อนต่างๆ ให้อยู่ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย มีกระบวนการรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน ซึ่งกฎหมายนี้จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เชื่อว่าจะมีการจ้างงานในประเทศมากยิ่งขึ้น และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) ขณะนี้ผู้ประกอบการกำลังจับตามองว่าภาครัฐจะเข้ามาช่วยสนับสนุนเรื่องนี้อย่างไร อยากให้เพิ่มจำนวนห้องปฏิบัติการทดสอบกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ และจำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน ที่สำคัญเรื่องค่าใช้จ่ายในการทดสอบ คาดในช่วงแรกจะค่อนข้างสูงมาก แต่ถึงอย่างไรภาครัฐควรให้การส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจผู้ประกอบการสนใจมากยิ่งขึ้น หรืออาจนำร่องหน่วยงานราชการบางแห่งเริ่มใช้แนวคิดนี้ ทำให้เกิดการจัดซื้อของทางภาครัฐ เพื่อปรับค่าใช้จ่ายในการทดสอบให้ต่ำลง

รศ. ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ขั้นตอนและวิธีประเมินความปลอดภัยของวัสดุสัมผัสอาหารและที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลชนิด rPET ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย คือ ใช้แนวทาง USFDA หาค่า Consumption factor (CF) ของ rPET และพิจารณาเปอร์เซ็นต์การนำเข้าขวด PET มาใช้ซ้ำกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร (% misused PET) เพื่อกำหนดค่าปริมาณการปนเปื้อนสูงสุดที่ยอมรับได้ (Maximum acceptable contaminant level) ในวัสดุ rPET ซึ่งจากข้อมูลการสำรวจการใช้วัสดุสัมผัสอาหารที่ผลิตจากพลาสติกและวัสดุชนิดอื่นทั้ง 24 ชั่วโมง ด้วยวิธีลงพื้นที่จริงใน 5 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก ขอนแก่น กรุงเทพฯ ปทุมธานี และสงขลา ปรากฏว่าพลาสติกชนิด PP มีปริมาณการใช้ต่อวันสูงสุดถ้านับจากจำนวนชิ้นวัสดุ และรองลงมาเป็นพลาสติกชนิด PET แต่ถ้าเทียบกับน้ำหนักอาหารที่สัมผัสกับวัสดุสัมผัสอาหาร (กรัม/มิลลิลิตร) การใช้พลาสติกชนิด PET มีจำนวนสูงสุด

การกำหนดค่าปริมาณการปนเปื้อนสูงสุดที่ยอมรับได้สำหรับวัสดุ rPET ค่า Consumption factor (CF=0.39) ได้จากการสำรวจข้อมูลการได้รับสัมผัสวัสดุสัมผัสอาหารใน 24 ชั่วโมง สามารถนำไปกำหนดค่าระดับการปนเปื้อนสูงสุดที่ยอมรับได้ ในวัสดุ rPET (ความหนาแน่น 1.4 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ความหนาแน่น 0.3 มิลลิเมตร) ต้องมีค่าไม่เกิน 47.39 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม วัสดุสัมผัสอาหาร จึงจะทำให้ปริมาณการได้รับสัมผัสสารปนเปื้อนไม่เกินค่า EDI”

สำหรับผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษา จะเป็นข้อมูลสำหรับประเมินความปลอดภัยของ rPET เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยานำไปใช้ประกอบการปรับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เพื่ออนุญาตการใช้พลาสติกรีไซเคิลชนิด PET เป็นวัสดุสัมผัสอาหาร ซึ่งเมื่อกำหนดค่าปริมาณการปนเปื้อนสูงสุดที่ยอมรับได้แล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการวางแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ หรือผู้เชี่ยวชาญที่ต้องเป็นผู้ประเมิน

รศ. ดร.อำพร เสน่ห์ ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ขอบเขตโครงการการพัฒนาและประเมินวิธีการทดสอบวัสดุสัมผัสอาหาร ปีที่ 1 rPET ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีดังนี้

1.ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวกับกฎระเบียบและแนวทางการประเมินความปลอดภัยของพลาสติกรีไซเคิล rPET ในประเทศสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป

2.นำเสนอข้อมูลผลการศึกษาวิเคราะห์ตามข้อ 1 รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

3. ประชาสัมพันธ์กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวัสดุสัมผัสอาหารจาก rPET

4.ดำเนินการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินหรือกำหนดแนวทางการทดสอบ rPET

4.1 สำรวจข้อมูลชนิดของวัสดุที่ใช้ผลิตภาชนะบรรจุอาหาร PET

4.2 การพัฒนาวิธีการเตรียมตัวอย่าง PET ที่มีการเติมสารปนเปื้อนตัวแทนสำหรับการทดสอบประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิลในการกำจัดสารปนเปื้อน

4.3 การพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ติดตามปริมาณสารปนเปื้อนตัวแทนใน PET

4.4 การพัฒนาวิธีการตรวจวิเคราะห์ไมเกรชันของสารปนเปื้อนตัวแทน

4.5 ประมวลผลวิเคราะห์คัดเลือกแนวทางการทดสอบ rPET

5.ประเมินปริมาณการสัมผัสสารเคมีจากการใช้ภาชนะ PET บรรจุอาหาร (กรณีศึกษาน้ำดื่มบรรจุขวด PET)

6.เสนอแนวทางการประเมินความปลอดภัยวัสดุสัมผัสอาหารจาก rPET โดยเน้นการวิเคราะห์สารเคมี/ทดสอบไมเกรชัน (จากข้อ 4 และข้อ 5)

7.สำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความพร้อมของเครื่องมือในหน่วยบริการทดสอบวิเคราะห์ทั่วประเทศในภาครัฐและเอกชน

8.เพื่อนำเสนอผลการวิจัยและถ่ายทอดผลการดำเนินงานสู่สาธารณะ

แม้กฎหมาย “ห้ามมิให้ใช้ภาชนะบรรจุที่ทำขึ้นจากพลาสติกที่ใช้แล้วบรรจุอาหาร เว้นแต่ใช้เพื่อบรรจุผลไม้ชนิดที่ไม่รับประทานเปลือก” จะยังไม่ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม แต่บรรดาผู้ประกอบการหลายรายก็ตื่นตัวขานรับ เพราะเล็งเห็นถึงความจำเป็นและประโยชน์จากการผลิตและใช้ขวดพลาสติกที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลในประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้ต้องคอยจับตาดูความคืบหน้ากันต่อไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดการเดินหน้ากฎหมายต้องยึดหลักความปลอดภัยผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ

แหล่งข้อมูล
งานสัมมนาออนไลน์ (Webinar) เรื่อง “การประเมินความปลอดภัยสำหรับวัสดุสัมผัสอาหารจากพลาสติกรีไซเคิล”
ในงาน “PROPAK ASIA 2021” ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการการพัฒนาและประเมินวิธีทดสอบวัสดุสัมผัสอาหาร

ผลสำรวจเผยผู้บริโภคชาวเอเชียบริโภคอาหารเช้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น

ผลสำรวจเผยผู้บริโภคชาวเอเชียบริโภคอาหารเช้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น

Continue reading “ผลสำรวจเผยผู้บริโภคชาวเอเชียบริโภคอาหารเช้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น”

Seafood leading company invest in ‘Insect protein’ pet food starts up company

บริษัทชั้นนำด้านอาหารทะเล ร่วมหุ้น สตาร์ทอัพขนมสัตว์เลี้ยงจาก โปรตีนแมลง
Seafood leading company invest in ‘Insect protein’ pet food starts up company

บริษัท ไทยยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) ได้เข้าลงทุนในบริษัท ออร์ก้าฟีด ด้วยงบกองทุน venture fund ที่มุ่งเน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโปรตีนทางเลือก สารอาหารเพื่อสุขภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจอาหาร เพื่อร่วมมือและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

โดยบริษัท ออร์ก้าฟีด นับเป็นสตาร์ทอัพแนวหน้าของประเทศไทยในการผลิตขนมสัตว์เลี้ยงที่มีส่วนผสมจากแมลง (แบรนด์ Laika) ผลิตจากหนอนแมลงวันลายที่ทานอาหารส่วนเกินที่สะอาดหรือผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นตามโรงงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน การลงทุนและการร่วมมือต่อจากนี้จะช่วยสนับสนุนธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยยูเนี่ยน (ในนามบริษัท ไอ-เทล) สอดรับกับแนวทางของบริษัทในการนำนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการให้ดียิ่งขึ้น

“เราเชื่อว่าโปรตีนจากแมลงเป็นทางเลือกที่ยั่งยืน และจะช่วยยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงได้ ทั้งในแง่ของคุณค่าทางโภชนาการและความยั่งยืน และด้วยความร่วมมือและการลงทุนครั้งนี้จะทำให้เราสามารถขยายธุรกิจและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสิ่งแวดล้อมได้ เรายินดีที่จะได้ร่วมงานกับไทยยูเนี่ยนต่อไป โดยเฉพาะกับทีมผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสัตว์ของไทยยูเนี่ยน” นายอิทธิกร เทพมณี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจหมุนเวียน บริษัท ออร์ก้าฟีด จำกัด กล่าว

“นวัตกรรมและความยั่งยืนนับเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของเรา โดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันมีแนวโน้มปรับเปลี่ยนสู่การเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงมากขึ้น ผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนและดีต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงมากขึ้น ทำให้บริษัทของเราขยายธุรกิจในสินค้ากลุ่มดังกล่าวมากยิ่งขึ้น เช่น การนำโปรตีนจากแมลงมาใช้ในการผลิต ซึ่งมีผลต่อสิ่งแวดล้อม (การปล่อยคาร์บอน การใช้น้ำและดิน) น้อยกว่าโปรตีนจากฟาร์มชนิดอื่นๆ มาก  ออร์ก้าฟีดจะช่วยเราตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของธุรกิจอาหารสัตว์ยั่งยืน เรามีความยินดีที่ได้ร่วมลงทุนในครั้งนี้ และร่วมงานกับออร์ก้าฟีดต่อไป” นายรอย ชาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าว

Thai Union Group PCL (Thai Union) announced that its Corporate Venture Capital (CVC) Fund has invested in Orgafeed, one of the leading insect-based pet treat start-ups in Thailand.

Orgafeed produces sustainable pet food and pet treats based on insect protein (Laika brand). They use black soldier fly larvae, which are raised on a diet from pre-consumed food waste, supporting circular economy principles. The investment in Orgafeed, and further collaboration will support the future growth of Thai Union Pet Care (now “i-Tail”) and is in line with new roadmap that utilizes innovation to enhance the nutritional aspect of the Company’s products.

“We believe that insect protein is a sustainable choice that helps to raise the standard of the pet food industry, both in terms of nutritional benefits and sustainability. With this partnership and investment from Thai Union Group, we will be able to scale both our business as well as the positive impacts on the environment. We look forward to this journey together with Thai Union Group and their pet care experts and professionals.”  Ittikorn Thepmani, Orgafeed’s co-founder and Circular Economy Officer (CEO) said

“At Thai Union, innovation and sustainability are two important pillars of our business. The pet industry is experiencing strong humanization and premiumization trends, which has led to customers looking for healthier and more sustainable products, thus driving our portfolio towards sustainable pet products, such as insect protein, where the environmental impact (emissions, land and water usage) is significantly lower than other kinds of farmed protein, Orgafeed will help us better serve our customers, especially in the sustainable pet food segment. We’re very pleased to be participating in this round of funding and are looking forward to exploring collaboration opportunities with them.” said Roy Chan, CEO of i-Tail, Thai Union.

 

“Plant based FEST” สามผู้นำผนึกกำลังจัดแคมเปญ ขานรับเทศกาลเจและ Plant-based โลก

Continue reading ““Plant based FEST” สามผู้นำผนึกกำลังจัดแคมเปญ ขานรับเทศกาลเจและ Plant-based โลก”

EU เตรียมเห็นชอบให้ตั๊กแตน (migratory locust) เป็นแมลงที่มีความปลอดภัยต่อการบริโภค

คณะกรรมาธิการยุโรปเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการด้านพืช สัตว์ อาหาร และอาหารสัตว์ (EU Standing Committee on Plants, Animals, Food and Feed : PAFF) ในวันที่ 28 กันยายน 2564 ลงมติเห็นชอบให้ตั๊กแตน (migratory locust) มีความปลอดภัยต่อการบริโภค

สืบเนื่องจากการที่ European Food Safety Authority (EFSA) ได้แถลงผลการพิจารณาเอกสารข้อมูล (dossier) ของ Fair Insects (บริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์) โดยมีมติให้ตั๊กแตน (แช่แข็ง อบแห้ง และบดละเอียด) เป็นแมลงที่มีความปลอดภัยต่อการบริโภคและสามารถใช้เป็นอาหารและส่วนประกอบของอาหารได้ โดยนับเป็นแมลงชนิดที่สอง (รองจากหนอนนก) ที่ EFSA ให้การรับรองด้านความปลอดภัยอาหารหลังจากที่ Regulation (EU) 2015/2283 ว่าด้วย อาหารใหม่ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้คณะกรรมาธิการยุโรปจะดำเนินการออกกฎระเบียบรับรองการขึ้นทะเบียนตั๊กแตนเป็นอาหารใหม่ในช่วงเดือนธันวาคม 2564

ตั๊กแตนในกลุ่มแมลงมีองค์ประกอบของสารไคติน (chitin*) ในปริมาณสูงกว่าอาหารอื่น ๆ เช่นเดียวกับในสัตว์น้ำกลุ่มครัสเตเชียน (กุ้ง กั้ง และปู) และไรฝุ่น (dust mites) ซึ่งการบริโภคแมลงสามารถอาจกระตุ้นอาการภูมิแพ้อาหารได้ (food allergen) ซึ่งขึ้นอยู่กับความไวต่อโปรตีนจากแมลงของแต่ละบุคคล ดังนั้น สหภาพยุโรปจึงกำหนดให้ต้องมีการติดฉลากระบุข้อมูลความเสี่ยงต่อการแพ้โปรตีนดังกล่าว

By: Office of Agricultural Affairs Royal Thai Embassy Brussels -September 27, 2021

www.thaieurope.net

 

คาดกินเจปี64ไม่คึกคัก-คนกรุงรัดเข็มขัด เม็ดเงินหดตัว 8.2%

แม้สถานการณ์โควิด-19 และการเข้าถึงวัคซีนจะเริ่มมีสัญญาณบวก แต่สถานการณ์น้ำท่วมและราคาพลังงานที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น เป็นปัจจัยเฉพาะหน้าเพิ่มเติมที่เข้ามากระทบความเชื่อมั่น ฉุดรั้งกำลังซื้อ และอาจสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้จ่ายให้กับผู้บริโภคในช่วงเวลานี้ที่เทศกาลกินเจกำลังจะมาถึงในวันที่ 6-14 ตุลาคมนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เทศกาลกินเจปี 2564 คนกรุงเทพฯ จะมีเม็ดเงินค่าใช้จ่ายตลอดช่วงเทศกาลอยู่ที่ 3,600 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 8.2 เมื่อเทียบกับเทศกาลกินเจปีก่อน ซึ่งนอกจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ แล้ว ยังเป็นผลจากจำนวนคนที่กินเจลดลง อีกทั้งยังปรับลดจำนวนวันในการกินเจลงเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่บางส่วนยังคง Work From Home จึงไม่เอื้อต่อการจับจ่ายในช่องทางการกินเจที่คุ้นเคยอย่างร้านอาหารข้างทางบริเวณที่ทำงาน ขณะที่ช่องทางร้านสะดวกซื้อและเดลิเวอรี่/ออนไลน์มีแนวโน้มที่คนจะหันมาใช้บริการมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ในเรื่องของความหลากหลายของสินค้า และบริการจัดส่งที่สะดวกขึ้น

ในระยะข้างหน้า ตลาดอาหารวีแกนน่าจะเติบโตขึ้นไม่เฉพาะแต่ในช่วงเทศกาลกินเจเท่านั้น แต่จากพฤติกรรมของคนไทยที่หันมาเลือกบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ดี การจะเพิ่มอัตราการบริโภคและยอดขายได้มากหรือน้อยนั้นคงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ผู้บริโภคจะให้น้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นราคา รสชาติ ความหลากหลายของสินค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นต้น

 

By : Kasikorn Research Center

อุตสาหกรรมอาหารพลิกฟื้น-โค้งสุดท้ายปี 64 ยังโตแกร่งสวนโควิด

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมอาหารของไทยในช่วง 7 เดือนแรกปี 2564 ว่า การส่งออกในช่วง 7 เดือนแรกพบว่า มีมูลค่า 622,700 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินค้าอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากประเทศคู่ค้าหลักอย่างจีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ที่ผ่อนคลายมาตรการ Lockdown หลังจากสัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ประชาชนสามารถออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน ธุรกิจบริการร้านอาหารต่างๆ มีการฟื้นตัว โดยการส่งออกไปจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.0 เนื่องจากมีความต้องการสินค้าจำนวนมากเพื่อรองรับการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน ส่วนการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปก็มีสัญญาณการฟื้นตัวเช่นกัน โดยเฉพาะสินค้าส่งออกในกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็ง จำพวกกุ้ง ปลา ปลาหมึก สับปะรดกระป๋อง ที่มีการขยายตัวตามช่องทางจำหน่ายในธุรกิจบริการร้านอาหารที่กำลังฟื้นตัว ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับ Pent up demand หรือความต้องการที่ถูกอั้นไว้ในช่วงที่ออกนอกบ้านไม่ได้และร้านอาหารถูกปิดเป็นเวลาหลายเดือน

            

ด้าน นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารไทยใน 5 เดือนหลังยังจะโตแกร่งสวนทางโควิด-19 โดยคาดว่าการผลิตจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 มูลค่า 427,300 ล้านบาท ทั้งปีประเมินว่าการผลิตจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 การส่งออกจะมีมูลค่า 1,050,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 จากปี 63 จึงเร่งขอความร่วมมือโรงงานโดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็กเข้าประเมินตนเอง Online ในแพลตฟอร์ม Thai Stop Covid (TSC) และการสุ่มตรวจประเมินโรงงาน (Onsite) เพื่อแนะนำการใช้มาตรการต่างๆ ในเชิงรุก เพื่อให้อุตสาหกรรมอาหารสามารถทำรายได้จากการส่งออกและเป็นภาคส่วนสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศไทย

 

แหล่งที่มาสำนักข่าวอินโฟเควสท์