Opportunities for Fresh-cut Vegetables and Fruits in Health Trend

ผักและผลไม้สดตัดแต่งแช่เย็น…โอกาสเติบโตมาแรงรับเทรนด์สุขภาพ

โดย: สร้อย โชติแฉล้มสกุลชัย
Sroy Chotchalaemsakulchai
Assistant R&D Manager
Okuno-Auromex (Thailand) Co., Ltd.
sroy.c@okuno-auromex.com

Full article TH-EN

ผักและผลไม้สดพร้อมบริโภคหรือผลไม้สดหั่นชิ้น (Minimally processed vegetables: minimally processed fruit หรือ Fresh-cut fruit) หมายถึง ผักและผลไม้สดที่ผู้ขายนำมาล้าง ปอกเปลือก ผ่าซีก เอาไส้และเมล็ดออก ตัดแต่ง หั่นชิ้น บรรจุใส่ภาชนะและวางจำหน่ายให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ตามใจชอบและสามารถนำไปบริโภคได้ทันที ทำให้ประหยัดเวลา ปัจจุบันจึงมีผักและผลไม้สดพร้อมบริโภควางจำหน่ายเพิ่มมากขึ้นทั้งในตลาดสดและซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น ผักสลัด ผักจัดชุดสำเร็จรูป (สำหรับทำแกงจืด แกงส้ม) ผลไม้อาทิ สับปะรด แตงโม แคนตาลูป ส้มโอ มะละกอสุก มะม่วงดิบ ชมพู่ ขนุน และฝรั่ง เป็นต้น

ปัจจุบันพบว่าผักและผลไม้สดตัดแต่งในรูปแบบการแช่เย็นได้รับความนิยมสูงขึ้นกว่ารูปแบบการแช่เยือกแข็งเนื่องจากความสะดวกในการรับประทานที่ง่ายกว่า และรสชาติของผักและผลไม้ดีกว่าในรูปแบบการแช่เยือกแข็ง ทั้งนี้ การแช่เยือกแข็งมักทำให้ผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเคมีและกายภาพ

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อป้องกันปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสีและคงลักษณะเนื้อสัมผัสและรสชาติของผักและผลไม้ไว้ได้

แม้วิธีการแช่เยือกแข็งจะทำให้ผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเคมีและกายภาพ อย่างไรก็ตามทั้งวิธีการแช่เย็นและแช่เยือกแข็งก็ยังเป็นวิธีการถนอมอาหารที่สามารถเก็บรักษาและคงคุณค่าทางโภชนาการของผักและผลไม้ให้อยู่ได้นาน ทั้งยังเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยตอบโจทย์ด้านความสะดวกให้กับผู้บริโภคที่รักสุขภาพในปัจจุบันซึ่งนิยมรับประทานผักและผลไม้สดตัดแต่งมากขึ้น

Fresh-cut vegetables and fruits (Minimally processed vegetables: minimally processed fruit or fresh-cut fruit) mean vegetables and fruits are washed and peeled, cut or slide, packed into the container and sold to the consumer as a convenience choice that they can consume immediately as well as. Consequently, fresh and ready-to-eat vegetables and fruits are being sold in both fresh markets and supermarkets, such as salad vegetables, small-set vegetables. For fruits such as pineapple, melon, cantaloupe, grapefruit, papaya, ripe mango, apple and guava.

At present, chilled minimally processed vegetables and fruits are more popular than frozen ones because it is easier to eat and better taste. Apart from the above reasons, freezing often results in changes in both chemical and physical characters of vegetables and fruits.

According to the advantages of technology in manufacturing and new product development, the physical change such as color can be prevented and the new technology also maintains the texture and taste of fruits and vegetables as well.

Even freezing for food preservation results in changes in both chemical and physical characters, chilling and freezing are the preservative technology that maintains shelf life and nutritional values of fruits and vegetables. It is such a good technology to respond the convenience lifestyle for consumers who become health conscious and go for vegetables and fruits as a health trend.

Sauces Processing Line…Choose the Right One for Your Products

การผลิตซอสหลากหลายรูปแบบ…เลือกให้ถูกต้องเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

โดย: กองบรรณาธิการ
นิตยสาร ฟู้ด โฟกัส ไทยแลนด์
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

ตามรายงานของ IBISWorld เกี่ยวกับ “เครื่องปรุงรส ซอส และผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสในสหรัฐอเมริกา” สายการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่คาดว่าจะช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้จากอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรส ซอส เช่น มายองเนส น้ำสลัด เครื่องเทศ สารสกัด และอาหารอบแห้งผสมที่ทำจากส่วนผสมที่หลากหลาย ซึ่งถูกจำหน่ายต่อไปยังผู้ค้าส่ง ผู้ผลิตอาหารอื่นๆ และร้านค้าปลีก

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ฮอตซอสและเครื่องเทศประจำชาติมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ในขณะที่เครื่องปรุงรสแบบดั้งเดิม เช่น มายองเนส และน้ำสลัดไม่ได้เติบโตมากนัก อย่างไรก็ตาม อนาคตของอุตสาหกรรมนี้ยังมีแนวโน้มสดใส จากความต้องการเครื่องปรุงรส ซอส และผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องต่อจากนี้ไปอีก 5 ปี ถึงปี 2566

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ซอสหลากหลายชนิดและมีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ซอสที่มีมูลค่าเพิ่มออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความต้องการสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมสูง การผลิตซอสและโซลูชันที่เหมาะสมถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการและช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ค้าปลีก ผู้ให้บริการด้านอาหาร ลูกค้าที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมและผู้บริโภคได้

เพื่อให้บรรลุความต้องการเหล่านี้ ในสหรัฐอเมริกาและตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ที่อาจเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน ผู้ผลิตอาจจำเป็นต้องพิจารณาว่าเทคโนโลยีการผลิตชนิดใดจะเหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขา ขณะนี้มีประมาณ 4 ถึง 5 ชนิดที่สามารถใช้สำหรับการผลิตซอสและเครื่องปรุงรสได้ ได้แก่ สายการผลิตต่อเนื่อง สายการผลิตอนุภาคต่อเนื่อง กลุ่มแบชท์ และสายดีไฮด์เดรย์ชัน

According to IBISWorld’s report on “Seasoning, Sauce and Condiment Production in the US”, new products lines are expected to drive revenue growth. The Seasoning, Sauce and Condiment Production industry produces goods such as mayonnaise, salad dressings, spices, extracts and dry food mixes from a variety of ingredients, which are then sold to wholesalers, other food manufacturers and retailers. Since this industry produces a wide array of products, some segments have performed better than others over the five years to 2018. Hot sauce and ethnic spices have been on the rise while traditional condiments, such as mayonnaise and salad dressings, have not performed as well. The industry’s future appears positive, with demand for seasoning, sauce and condiments expected to remain consistent over the five years to 2023

Sauce production is a rapidly developing and innovative category worldwide, with an already wide and growing range of value-added sauce products. This places high demands on productions and product innovation. Optimal sauce production and solution have been created to meet needs and enable manufacturers to serve demands from retailers, food services, industrial customers and consumers.

In order to achieve those demands both in the US and other emerging markets which probably have the same tendency, manufacturers might need to re-consider which kind of production technology will be the most suitable for them. Currently, there are roughly 4 to 5 types of lines that can be used for sauces and condiments such as continuous line, continuous with particulate line, batches and dehydration line.

ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care เดือน พฤศจิกายน 2561

ร่วมแสดงความคิดเห็น U Share V Care ลุ้นรับของกำนัล
Gift Voucher After You Dessert Café worth 500 (2 Lucky Winner)

ลุ้นรางวัลกับเราได้ตามลิงก์ด้านล่างเลย อย่าลืมกรอกให้ครบ..นะคะ

https://goo.gl/forms/R6cE8aPNlDfamCo73

Code of Recommended Practices for Frozen Food

หลักปฏิบัติ CRP ของอาหารแช่เยือกแข็ง

Compiled By: กองบรรณาธิการ
นิตยสาร ฟู้ด โฟกัส ไทยแลนด์
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN 

“A Code of Recommended Practices by the Frozen Food Roundtable 1987. Frozen Food Handling and Merchandising” จัดรวบรวมขึ้นโดยกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอาหารแช่เยือกแข็ง 16 กลุ่มในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดเป็นหลักถือปฏิบัติกันในกลุ่มผู้ประกอบอาหารแช่เยือกแข็งในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของผู้บริโภคและผู้ประกอบการในด้านภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารแช่เยือกแข็ง

หลักปฏิบัติ CRP ของอาหารแช่เยือกแข็ง
ประมวลหลักปฏิบัติ CRP ของอาหารแช่เยือกแข็งจะเน้นความสำคัญที่การจัดการผลิตภัณฑ์อาหารแช่เยือกแข็งที่ผลิตเสร็จแล้ว ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่มักถูกมองข้ามและละเลย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตและผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องอาหารแช่เยือกแข็ง

ปัญหาด้านคุณภาพของอาหารแช่เยือกแข็งนั้นมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่การผลิตได้เสร็จสิ้นลง (Post production) ในขณะที่ได้มีการส่งผ่านผลิตภัณฑ์ไปยังจุดต่างๆ ในลูกโซ่การเก็บรักษาและจัดจำหน่าย (Cold chain) ผู้ประกอบการอาหารแช่เยือกแข็งจำเป็นต้องตระหนักว่าความสำเร็จของอุตสาหกรรมอาหารนั้นอยู่ที่ความสามารถในการผลิตและประกันคุณภาพให้อาหารนั้นถึงลูกค้าหรือผู้บริโภคสุดท้าย (Ultimate consumers) โดยมีคุณภาพดีเช่นเดียวกับกันภายหลังการผลิต (หรือดีกว่า) ไม่ใช่มีคุณภาพดีเพียงแค่ในขั้นตอนการผลิตเท่านั้น

“A Code of Recommended Practices by the Frozen Food Roundtable 1987. Frozen Food Handling and Merchandising” was comprised by 16 groups of enterprises in frozen food industry in the USA. It has been taking as a common practice in order to provide mutual benefit for the business and the consumers, as well as boosting the industry’s image.

CRP for Frozen Food
The code of recommended practices for frozen food emphasizes on the handling of manufactured frozen products, which is most time ignored by handlers outside the manufacturing process and those who lacks good understanding about frozen food.

Quality problems of frozen foods usually occurred in the post production process known as cold chain, where frozen foods are stored and distributed to various locations. Frozen food enterprises must recognize that the success of the industry relies on its ability to produce and assure the product’s quality until the food reaches the hands of ultimate consumers. Here, the food must live up to the quality (or even a better quality) it possesses when it came out of the production line.

Human Milk Oligosaccharides (HMO) Creating Differentiating Offers in Infant Nutrition

By: Ms.Marianne Heer
Scientific Marketing
BASF Human Nutrition

Full article TH-EN

โอลิโกแซคคาไรด์จัดเป็นธาตุอาหารหลักที่สำคัญอันดับสามที่พบในน้ำนมแม่รองจากแลกโตสและไขมัน โดยโอลิโกแซคคาไรด์ในน้ำนมแม่มีปริมาณมากถึงประมาณ 300 เท่าเมื่อเทียบกับน้ำนมวัว ทั้งยังมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างมารดาแต่ละคน รวมไปถึงความแตกต่างของช่วงระยะเวลาการให้นมลูกและลักษณะทางพันธุกรรมของผู้เป็นแม่ ความเข้มข้นของโอลิโกแซคคาไรด์มีปริมาณสูงที่สุดในตอนเริ่มต้นของการให้นมและจะลดลงประมาณร้อยละ 30 ในช่วงการให้นม โดยนมแม่ในระยะน้ำนมขาวหรือน้ำนมระยะหลังนั้นมีปริมาณโอลิโกแซคคาไรด์ที่อาจจะสูงถึง 5-20 กรัม/ลิตร เปรียบเทียบกับในน้ำนมวัวที่มีปริมาณน้อยกว่า 0.05 กรัม/ลิตร

ในการผลิตนมผงสำหรับเด็กแรกเกิดนั้นมีการเติมกาแล็กโทโอลิโกแซคคาไรด์ (GOS) และฟรุกโทโอลิโกแซคคาไรด์ (FOS) เพื่อเลียนแบบโอลิโกแซคคาไรด์ในน้ำนมแม่ โดยโอลิโกแซคคาไรด์ทั้งสองชนิดนั้นจะไม่พบในน้ำนมแม่ ในทางตรงกันข้ามโอลิโกแซคคาไรด์ในน้ำนมแม่จะมีน้ำตาลฟูโคสและกรดไซอะลิกซึ่งเป็นองค์ประกอบสารอาหารเชิงฟังก์ชันที่จะไม่พบในนมผงสำหรับเด็กแรกเกิด

ปัจจุบันมีโครงสร้างของโอลิโกแซคคาไรด์ที่ได้รับการคัดแยกชนิดแล้วมากกว่า 200 ชนิด ในจำนวนนี้ คือ 2’ ฟูโคซิลแลคโตส (2’-fucosyllactose (2’-FL)) ซึ่งเป็นชนิดของโอลิโกแซคคาไรด์ที่พบมากที่สุดในน้ำนมแม่ ทำหน้าที่เป็นตัวรับที่ล่อเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคได้ คือแทนที่เชื้อโรคจะไปจับกับคาร์โบไฮเดรตตัวรับส่งสัญญาณบนผิวเซลล์ในลำไส้ก็ไปจับกับโครงสร้าง 2’-FL นี้แทนและเกิดการยึดเกาะกันกับเซล์เจ้าบ้านซึ่งเป็นขั้นแรกของการติดเชื้อที่ร่างกายสามารถป้องกันไว้ได้ นอกจากนี้ 2’-FL ยังสามารถปรับระดับการตอบสนองของเซลล์ในลำไส้ได้โดยตรง ทำให้เกิดความแข็งแรงของชั้นเยื่อเมือกของเซลล์ในลำไส้ และสามารถลดการอักเสบได้ โอลิโกแซคคาไรด์ในน้ำนมแม่จึงจัดเป็นระบบภูมิคุ้มกันที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและมีความสำคัญต่อทารกแรกเกิดอย่างมาก

Human Milk Oligosaccharides (HMO) is a breakthrough differentiator: they are the third largest solid component in human milk, following lactose and fat. The amount is about 300 times higher compared with bovine milk. The HMO composition of human milk is complex and varies significantly among mothers, over the course of lactation and according to their genetic set-up. The HMO concentration in early milk is highest and it declines by about 30% over the course of lactation. In mature human milk, the content may still be as high as 5 – 20g/L compared to less than 0.05g/L of bovine milk.

Today, more than 200 HMO molecules have been identified, of which 2’-fucosyllactose (2’-FL) is the most abundant in most mothers. Up to now, galacto-oligosaccharides (GOS) and fructo-oligosaccharides (FOS) have often been added to infant formula to mimic HMOs. However, both do not occur in human milk. On the other hand, fucose and sialic acid which appear to be important structural and functional components of HMOs are absent in infant formula with GOS/FOS. Thus, the availability of HMOs with molecular structures identical to those occurring in human milk, is a breakthrough in infant nutrition.

In the meantime, mechanistic studies shed light on this observation: due to the specific molecular structure, 2’-FL is able to act as a decoy receptor for pathogens. Instead of
binding to the carbohydrate receptors on the intestinal cell surfaces, pathogens bind to 2’-FL and the adhesion to the host cells – the first step of infections – can be prevented. Moreover, 2’-FL can directly modulate intestinal cell responses and the thus strengthen the mucous barrier.

Recent data suggest that 2’-FL can directly attenuate inflammation in experimental models. This confirms HMOs as being an “innate” immune system of human milk whereby the mother protects the vulnerable newborn child. 2’-FL can also represent a novel preventative active to reduce mucosal inflammation associated with diverse bowel disorders.

สมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลกฯ จัดงานประชุมเผยแพร่องค์ความรู้ด้านสัตว์ปีก

กรุงเทพฯ, 17 ตุลาคม 2561 – น. สพ.ศักดิ์ชัย ศรีบุญซื่อ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลก สาขาประเทศไทย เป็นประธานเปิดงานการประชุมใหญ่สามัญสมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลก สาขาประเทศไทย ประจำปี 2561 ณ โรงแรม สวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด โดยมีนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของไทยมาร่วมเผยแพร่ พร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ จากทั่วโลกที่จะเป็นประโยชน์ต่อวงการสัตว์ปีก เพื่อร่วมพัฒนาอาหารคุณภาพ ปลอดสาร ปลอดภัย แก่ผู้บริโภค โดยในงานนี้ยังเป็นเวทีนำเสนองานวิจัยของนิสิตและนักศึกษาไทยอีกด้วย

ประเทศไทยเป็น 1 ใน 80 ประเทศที่เป็นสมาชิกสมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลก โดยประเทศไทยส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์เป็นอันดับต้นๆ ของโลก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการติดตามวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์อย่างใกล้ชิด ด้วยงานศึกษาวิจัยที่หลายประเทศร่วมมือกันทำให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่ออุตสาหกรรมสัตว์ปีก สามารถนำมาพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เกิดการลดต้นทุน และได้ผลิตภัณฑ์อาหารจากสัตว์ปีกที่ปลอดภัย ไม่มีการใช้ฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ

ดีเคเอสเอชประกาศรายงาน GRI เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

กรุงเทพฯ, 18 ตุลาคม 2561

ดีเคเอสเอช ประกาศรายงานฉบับแรกของบริษัททางด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และกิจกรรมช่วยเหลือสังคมขึ้น โดยนำมาตรฐานของ Global Reporting Initiative guidelines (GRI) ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดทำรายงานด้านความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาเป็นแนวทาง ในฐานะที่เป็นบริษัทสวิสซึ่งดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียมากว่า 150 ปี การเสริมสร้างสังคมให้พัฒนาขึ้นจึงถือเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ

ดีเคเอสเอช ผู้นำในการให้บริการด้านการขยายตลาด โดยมุ่งเน้นในภูมิภาคเอเชียประกาศรายงานฉบับแรกของบริษัทโดยนำมาตรฐานของ Global Reporting Initiative guidelines (GRI) มาเป็นแนวทางในครั้งแรกนี้ ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ นักลงทุน พนักงาน รวมถึงบุคคลทั่วไปจะได้รับทราบถึงข้อมูลเชิงลึกทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และกิจกรรมทางด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท ดีเคเอสเอช โดยรายงานดังกล่าวได้จัดทำขึ้นตามแนวทางหลักของ GRI (option “core”) ซึ่งกว่า 50 หน้าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจของดีเคเอสเอช กิจกรรมทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ผลกระทบและวิธีการจัดการบริหาร โดยกล่าวถึงทั้งหมด 12 หัวข้อ โดยจะเน้นที่กิจกรรมหลัก เช่น การขาย การตลาดและการกระจายสินค้า

วิสัยทัศน์ของดีเคเอสเอชด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในประเทศที่บริษัทประกอบธุรกิจด้วยในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเพื่อเติมเต็มวัตถุประสงค์ขั้นพื้นฐานด้วยการนำผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ วัตถุดิบอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยี เข้าสู่ตลาดโดยมีการดำเนินงานด้วยคุณธรรม ความเชื่อใจ และไว้วางใจได้

ในความร่วมมือกับมูลนิธิไร้ท์ ทู เพลย์ ทางบริษัทจึงได้ประกาศรายงาน GRI อย่างเป็นทางการที่กรุงเทพฯ ดีเคเอสเอชเป็นพันธมิตรกับมูลนิธิไร้ท์ ทู เพลย์มาอย่างยาวนาน ซึ่งองค์กรนี้มุ่งเน้นทางด้านการศึกษาและเสริมสร้างสมรรถภาพของเด็กผู้ด้อยโอกาสทางสังคมผ่านทางการเล่นและกิจกรรมต่างๆ

มร. สเตฟาน พี บุทซ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทดีเคเอสเอช กล่าวว่า “ในฐานะที่เราเป็นบริษัทสวิสซึ่งดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียมากว่า 150 ปี การเสริมสร้างสังคมให้พัฒนาขึ้นถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของดีเคเอสเอชเสมอมา ธุรกิจของเราในการให้บริการด้านการขยายตลาดมีพื้นฐานมาจากการมีคุณธรรม ความเชื่อใจ และไว้วางใจได้ คุณค่าเหล่านี้ถูกปลูกฝังอยู่ในวัฒนธรรมองค์กร และหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางด้านการขายของเรา ทางบริษัทได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในรายงาน GRI ฉบับนี้แล้ว”

สามารถดาวน์โหลดรายงาน GRI ได้ที่: dksh.com/sustainability

Get Digital. Now! Industrial Transformation ASIA-PACIFIC 2018

Festo participated at the 1st Industrial Transformation ASIA-PACIFIC, a Hannover Messe event held at Singapore EXPO from 16 – 18 October.

Adopting an integrated approach, Festo endeavours to help transform production systems to become digitally and intelligently networked throughout. At the exhibition, Festo presented the latest technologies, solutions and training programmes for the production world of tomorrow.

Visitors were able to discover how Festo creates added value for customers along a guided journey that is anchored by four key pillars.

Learn – Enabling customers to learn to engage with digital automation
Bionics4Education: Bionic Fish- The Bionic Fish promotes creativity and fun while learning from nature. Participants will be able to design fins from the materials provided and see how their design helps the bionic fish navigate in water. This exhibit is an optimal combination of digital and hands-on learning.
Cyber Physical (CP) Factory – The CP Factory illustrates the practical implementation of a networked factory. It is a comprehensive, modular and expandable Industry 4.0 factory model which can be used to represent the entire value chain. Training areas such as assembly line, logistics, production, production planning and control/Manufacturing Execution System (MES), lean production and quality assurance can be represented in didactic terms with this model.

Build – Supporting machine manufacturers with digital tools
Handling Guide Online (HGO) – The HGO is a smart and intuitive tool to help configure and create new system solutions. The new configuration and ordering platform that is integrated into Festo’s online product catalogue also ensures there is no need to interrupt the value chain. They can have the right standard handling system, including CAD model, in just a few clicks.

Operate – Providing condition monitoring and maintenance in the digital age
Internet of Things (IOT) – The IOT compact handling system, which is a coordinated system kit consisting of kinematics, control system, software and visualisation, is the basis for a variety of desktop applications. A gateway that is directly connected to a Cloud and the IOT then transmits the data of the components via OPC-UA to a dashboard, so data may be analysed in real time.

Inspire – Inspiring future generations to work smart with bionic and future concepts
BionicCobot – The movement patterns of the BionicCobot are modelled after those of the human arm. Each of its seven joints makes use of the natural operating mechanism of the biceps and triceps – the efficient interplay of flexor and extensor muscles. It can thus execute very delicate movements, just like its biological model. The pneumatic lightweight robot can work directly and safely together with humans and serves to inspire future ways of working and collaborating with robots.
As a trendsetter in automation technology, Festo is actively involved in a broad range of areas: our experts advise the German federal government, contribute to the standardisation of communications and software interfaces, and offer basic and further technical training opportunities across the globe. Festo is the only company to offer flexible, decentralised installation concepts and integrated mechatronic solution packages. From the mechanical system to the Industry 4.0-compatible cloud – everything comes from a single source.

กรมประมง แจงด่วน!! สหรัฐอเมริกา ไม่ได้ห้ามนำเข้า “น้ำปลาไทย” ทั้งระบบ และไม่ได้สุ่มตรวจพบสารก่อมะเร็ง

กรุงเทพฯ, 24 ตุลาคม 2561 – นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง ชี้แจงหลังกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวน้ำปลาจากประเทศไทยมีปัญหาในการนำเข้าสหรัฐอเมริกาว่า กรมประมงในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าประมงก่อนส่งออกไปต่างประเทศได้เร่งประสานข้อเท็จจริง ซึ่งพบว่าสาเหตุที่ทางองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐ (USFDA) ได้ขึ้นบัญชี Import Alert เลขที่ 16-120 ประเภท Detention without Physical Exam (DWPE) โรงงานผู้ผลิตน้ำปลาจากประเทศไทยบางแห่งไว้ เนื่องจากมีการตรวจพบว่ากระบวนการควบคุมการผลิต (HACCP) ของโรงงานไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัย HACCP (21 CFR 123.3) ของ USFDA ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดสารโบลูทินัมและสารฮีสตามีนในผลิตภัณฑ์ หากตรวจพบในปริมาณที่เกินมาตรฐานกำหนดจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

ทั้งนี้ USFDA ได้เสนอแนวทางแก้ไขกรณีดังกล่าว 2 แนวทาง คือ (1) ให้โรงงานผู้ผลิตน้ำปลาของไทยปรับกระบวนการผลิตให้มีขั้นตอนการผ่านความร้อน หรือ (2) นำเสนอข้อมูลในเชิงวิทยาศาสตร์มายืนยันว่ากระบวนการผลิตน้ำปลามีการควบคุมที่เทียบเท่ากับข้อกำหนด HACCP ของ USFDA และสามารถป้องกันการเกิดสารพิษดังกล่าวได้ ซึ่งขณะนี้ โรงงานฯ ได้มีการจัดส่งเอกสารชี้แจงตามข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัย HACCP ให้ USFDA แล้ว แต่มีการเรียกขอข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งนี้ โรงงานฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขและจัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้เจ้าหน้าที่ USFDA พิจารณา

โดยในส่วนของกรมประมงอยู่ระหว่างการจัดทำและรวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกระบวนการหมักน้ำปลาที่สามารถป้องกันการเกิดสารโบลูทินัมและฮีสตามีนในผลิตภัณฑ์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการนำเสนอแนวทางการป้องกันปัญหากับ USFDA ต่อไป ส่วนกระบวนการให้ความร้อนซึ่งเป็นอีกแนวทางที่ USFDA เสนอนั้น ผู้ผลิตส่วนใหญ่ของไทยไม่นิยมนำมาใช้ปฏิบัติเนื่องจากจะทำให้กลิ่นและรสเฉพาะของน้ำปลาเปลี่ยนแปลง ประกอบกับกระบวนการผลิตน้ำปลามีการใช้เกลือในปริมาณสูงเพียงพอที่จะยับยั้งการเกิดเชื้อโรคและสารที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อีกทั้ง กระบวนการผลิตน้ำปลาของไทย ซึ่งไม่ได้ใช้วิธีการต้ม แต่ก็เป็นการผลิตตามมาตฐานการผลิตน้ำปลา(Standard for Fish Sauce; Codex Stan 302-2011) ของ CODEX ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก

ดังนั้น การออกประกาศเตือน Import Alert น้ำปลาไทยในครั้งนี้ จึงไม่ได้มีเหตุเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การห้ามนำเข้า (Import Ban) น้ำปลาจากประเทศไทยทั้งหมดอย่างที่เป็นข่าว แต่เป็นการห้ามนำเข้าเฉพาะโรงงานที่อยู่ใน Import Alert เท่านั้น และไม่ได้มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสุ่มตรวจสารก่อมะเร็งแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะ USFDA ไม่ได้มีข้อกำหนดให้ตรวจสารก่อมะเร็งในผลิตภัณฑ์น้ำปลาตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในการผลิตน้ำปลา ประกอบกับประกาศ Import Alert เลขที่ 16-120 ก็มิได้มีการกล่าวถึงการสุ่มตรวจสารก่อมะเร็งในน้ำปลาด้วย

อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกามีระบบการควบคุมการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด โดยมี USFDA เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแล มีการใช้ระบบการป้องกันอันตรายจากสินค้าที่นำเข้าที่ USFDA เชื่อว่าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของสหรัฐอเมริกา (Import Alert) การประกาศ Import Alert เป็นวิธีการของ USFDA ในการแจ้งเจ้าหน้าที่ของตนที่ประจำอยู่ที่ด่านตรวจต่างๆ ให้ทราบว่าจะจัดการกับสินค้าดังกล่าวอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ปกติที่มีการออกประกาศฯ เป็นประจำของ USFDA ที่จะเตือนและให้มีการกักกันสินค้าจากผู้ส่งออก/ผู้ผลิต ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีสารอันตรายปนเปื้อนหรือไม่ได้มาตรฐานตามที่ FDA กำหนด การออกประกาศเตือน (Import Alert) มิได้มีเหตุเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การประกาศ Import Ban ประเทศผู้ส่งออกแต่อย่างใด โดยเหตุผลหลักที่สินค้าถูกระบุ Import Alert แบ่งเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ สินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยที่ USFDA กำหนด และระบบการควบคุมการผลิตของโรงงานไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัยของกฎระเบียบ HACCP (21 CFR 123.3) ทั้งนี้ การประเมินระบบ HACCP ของ USFDA จะประเมินจากเอกสารคู่มือคุณภาพที่โรงงานส่งให้และมีระบบการสุ่มตรวจโดยการส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจ ณ โรงงานผู้ผลิตเป็นครั้งคราว หลังจากถูกประกาศขึ้น List แล้ว การจะหลุดจาก List ได้ผู้ผลิต/ผู้ส่งออก ต้องมีการพิสูจน์ตนเอง หมายความว่า หากพบว่าระบบการควบคุมการผลิต (HACCP) ไม่ได้มาตรฐาน โรงงานต้องจัดทำเอกสารเพื่อพิสูจน์ว่ามีการควบคุมตามข้อกำหนด ในกรณีสินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานฯ USFDA จะสุ่มตรวจสินค้าที่เข้ามาใหม่โดยต้องไม่มีปัญหาใดๆ อีกอย่างน้อย 5 Shipments แล้วจึงทำการยื่นเรื่องต่อ USFDA ขอถอดถอนรายชื่อตนจาก List ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาประกาศรายชื่อประเทศผู้ส่งออกใน Import Alert เลขที่ 16-120 กว่า 40 ประเทศ และมีโรงงานในรายชื่อดังกล่าวกว่า 200 โรงงาน

สุดท้ายนี้ อธิบดีกรมประมง เน้นย้ำให้ผู้ส่งออกของไทยเคร่งครัดปฏิบัติตามกฎระเบียบของ USFDA เพื่อให้สินค้าของตนเป็นไปตามเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนด และสามารถส่งออกไปขายสหรัฐอเมริกาได้ และขอให้ประชาชนผู้บริโภคอย่าเพิ่งวิตกกังวลต่อกรณีดังกล่าว