เตรียมตัวให้พร้อมกับ Taiwan Expo 2018 ครั้งแรกในเมืองไทย

30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2561 ณ อีเว้นท์ฮอลล์ 99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

 

กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน (Bureau of Foreign Trade, MOEA) ร่วมกับ สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (Taiwan External Trade Development Council) และสมาคมการค้าไทย-ไต้หวัน (Thai-Taiwan Business Association) พร้อมด้วยสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (Thailand Convention and Exhibition Bureau – TCEB) จัดงาน Taiwan Expo 2018 ครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “Let’s Tie Together” ชูเทคโนโลยีเพื่อให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม และกระตุ้นความร่วมมือทางการค้าระหว่างไทยกับไต้หวัน งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2561 ณ อีเว้นท์ฮอลล์ 99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

นายเฟลิกซ์ เฮช. แอล. ชิว ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอุตสาหกรรม สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) กล่าวถึงวัตถุประสงค์หลักในการจัดงาน Taiwan Expo ว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไต้หวัน ผู้คนต่างพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น และมีศักยภาพทางด้านธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง จึงกำหนดจัดงาน ไต้หวัน เอ็กซ์โป 2018 ขึ้น ภายใต้แนวคิด “Let’s Tie Together” เพื่อแสดงถึงความร่วมมือกันระหว่างไทยกับไต้หวัน ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานในครั้งนี้จะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนมีความสุขและสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมกับสร้างโอกาสสำคัญในการขยายความร่วมมือทางการค้าในภูมิภาคอาเซียน

ภายในงานไต้หวัน เอ็กซ์โป 2018 จะได้พบกับสินค้า เทคโนโลยีและนวัตกรรมของไต้หวันที่จะช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายมากขึ้น และได้รู้จักไต้หวันอย่างใกล้ชิดขึ้นในมุมมองใหม่ที่หลากหลายผ่าน 7 โซนแสดงสินค้าไฮไลท์ ได้แก่ โซนเทคโนโลยีเพื่อชีวิตคนเมือง (Smart City) โซนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Tech) โซนสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพ (Health Care) โซนศิลปวัฒนธรรม (Culture) โซนการท่องเที่ยว (Talents & Tourism) โซนสินค้าการเกษตร (Agricultural) และโซนสินค้าเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น (Good Living) จากผู้ประกอบการที่มาร่วมออกบูธกว่า 210 ราย นอกจากนี้ ผู้เข้าชมงานยังมีสิทธิ์ลุ้นตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ-ไทเป จำนวน 2 รางวัล นายเฟลิกซ์ กล่าว

นายชู-เทียน หลิว ประธาน สมาคมการค้าไทย-ไต้หวัน กล่าวว่า จัดงาน Taiwan Expo 2018 ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในเมืองไทย หลังจากที่ได้มีการจัดงานหลากหลายประเทศในเอเซียมาแล้ว เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม โดยแต่ละประเทศได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เฉลี่ยมีผู้เข้าชมงานมากกว่า 18,000 คน ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมาไต้หวันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 14,307 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 480,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะมีความร่วมมือทางการค้าเพิ่มขึ้นในอนาคต ดังนั้น การจัดงาน ไต้หวัน เอ็กซ์โป 2018 ครั้งนี้ จึงเป็นเสมือนสื่อกลางของนักลงทุนไทยและไต้หวันได้พบปะแลกเปลี่ยนมุมมองธุรกิจและการเจรจาทางการค้าต่อไปในอนาคต ผ่านกิจกรรมการจับคู่ธุรกิจ พร้อมส่งเสริมความรู้ผ่านงานสัมมนาในอุตสาหกรรมต่างๆ (Industry Forums) อาทิ Taiwan Excellence Smart Transportation Forum, Taiwan Smart Machinery Forum และ Taiwan Digital Commerce & Startups Forum ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าได้ฟรี ทาง https://thai.taiwanexpoasean.com/en_US/index.html

นายเจสัน ฮู ผู้อำนวยการ ฝ่ายการค้า สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย เผยว่า ไต้หวัน ตั้งเป้าลงทุนในตลาดอาเซียน และประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกมากขึ้นตามนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southbound) ของรัฐบาลที่มุ่งก่อให้เกิดความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ และผลักดันให้ผู้ประกอบการไต้หวันก้าวออกไปลงทุนในประเทศต่างๆ มากขึ้น โดยประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่มีศักยภาพทางการค้า มีวัฒนธรรมและการดำรงชีวิตที่คล้ายคลึงกัน จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะมีการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม เทคโนโลยี การศึกษา รวมทั้งการร่วมลงทุนทางธุรกิจ

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (TCEB) กล่าวว่างาน Taiwan Expo 2018 ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนไทยที่ได้สัมผัสกับความเป็นไต้หวันทั้งในแง่ของผู้บริโภคที่สนใจนวัตกรรมช่วยเสริมการใช้ชีวิตให้สะดวกสบายขึ้น และกลุ่มผู้ทำธุรกิจที่อยากต่อยอดทั้งเรื่องเทคโนโลยีและการค้า ในภาพรวมหวังว่าจะเห็นความร่วมมือที่ได้รับการต่อยอดอย่างมีคุณภาพต่อไป

 

Website: https://thai.taiwanexpoasean.com/

Facebook: https://www.facebook.com/twexpointhai/

เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง บุกตลาดค้าปลีก ขยายธุรกิจสู่ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ

 

กรุงเทพฯ, 2 สิงหาคม 2561 – บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด บริษัทในเครือข้าวหงษ์ทอง ขยายธุรกิจสู่ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ เข้าซื้อกิจการร้าน “ใบเมี่ยง” ร้านสินค้าเพื่อสุขภาพชื่อดัง พร้อมเดินหน้าขยายสาขาครอบคลุมกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงเพิ่มช่องทางการจำหน่าย เข้าถึงกลุ่มคนรักสุขภาพ หวังเติบโตปีละร้อยละ 30

นางแคทลียา มานะธัญญา ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า “เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง มีนโยบายที่เปรียบเสมือนหัวใจขององค์กร คือ การมุ่งมั่นสร้างสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย จึงทำให้ข้าวหงษ์ทองพัฒนาเป็นข้าวที่มีคุณประโยชน์สูงและดีต่อสุขภาพ เพราะเราเชื่อว่าการรับประทานอาหารที่ดีมีส่วนช่วยให้มีสุขภาพดีในระยะยาว แต่แน่นอนว่าข้าวไม่ใช่สิ่งเดียวที่คนรับประทานกัน เราจึงมีแนวคิดที่จะรวมเอาสินค้าเพื่อสุขภาพมาไว้ในที่ๆ เดียว เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและผู้ที่รักสุขภาพทุกคน แนวคิดนั้นก่อให้เกิดร้านสินค้าเพื่อสุขภาพชื่อว่า “Hongthong Health Station”

Hongthong Health Station ได้รับผลตอบรับอย่างดีจากกลุ่มคนรักสุขภาพ แต่ด้วยจำนวนสาขาเพียง 3 สาขา ทำให้ไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่อยู่ห่างไกล เจียเม้งมาร์เก็ตติ้งจึงวางแผนที่จะขยายไลน์ของสินค้าเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น โดยการเข้าซื้อกิจการร้าน ‘ใบเมี่ยง’ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2560 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ร้านใบเมี่ยง เป็นร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพที่มีชื่อเสียงในกลุ่มของคนรักสุขภาพในประเทศไทย มีสาขาอยู่หลายสาขาทั่วกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล จุดเด่นของร้านใบเมี่ยงคือ ชื่อเสียงและฐานลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี มีไลฟ์สไตล์ที่ชอบออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และชอบอัพเดทเทรนด์สุขภาพแนวใหม่ๆ จุดเด่นอีกอย่างคือ สินค้าภายในร้านที่มีครบวงจร ตั้งแต่ของกิน ของใช้ รวมไปถึงสินค้าแม่และเด็ก นับว่าตอบโจทย์ความต้องการของคนรักสุขภาพได้อย่างตรงจุด

นางแคทลียา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “หลังจากบริษัทได้ซื้อกิจการร้านใบเมี่ยงแล้ว ก็ได้มีการปรับปรุงระบบการขาย รวมถึงปรับกลุ่มสินค้าในร้านให้เป็นแบบแผนและมีมาตรฐานมากขึ้น รวมไปถึงวางแผนการตลาดที่เน้นในทางเชิงรุก ซึ่งเราวางแผนการเติบโตของร้านใบเมี่ยงไว้ปีละประมาณร้อยละ 20-30 ขึ้นอยู่กับแผนการขยายสาขา โดยเน้นสร้างในทำเลที่เหมาะสม เริ่มจากการขยายสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง ทำให้ตอนนี้มีร้านใบเมี่ยงในเครือของเจียเม้งมาร์เก็ตติ้งอยู่ทั้งหมด 6 สาขา และวางแผนขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้สะดวก สร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ ให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย”

“ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลัง ที่มีร้านสินค้าเพื่อสุขภาพเกิดขึ้นใหม่มากมาย ร้านใบเมี่ยงก็ถือเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน และเพื่อทำให้ผู้บริโภครู้สึกมั่นใจในทางร้าน เจียเม้งมาร์เก็ตติ้งจึงมุ่งมั่นนำประสบการณ์จากการทำธุรกิจระดับสากล ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกมาปรับใช้กับร้านให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างความแตกต่างและยกระดับมาตรฐานทั้งเรื่องการคัดสรรสินค้าและในด้านการให้บริการ สอดคล้องกับหัวใจหลักขององค์กร คือ มุ่งมั่นสร้างสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย” นางแคทลียา กล่าวทิ้งท้าย

Krispy Kreme Doughnuts เตรียมเปิดสาขาแรกในเมียนมา

 

วินสตัน-เซเลม นอร์ทแคโรไลนา, 2 สิงหาคม 2561 – ร้าน Krispy Kreme สาขาแรกในเมียนมามีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2561 นี้ โดย Krispy Kreme จะเป็นหนึ่งในแบรนด์ธุรกิจร้านอาหารจากตะวันตกเพียงไม่กี่รายที่จะเปิดให้บริการในเมียนมาผ่านการทำธุรกิจในรูปแบบของแฟรนไชส์ ทั้งยังเป็นหนึ่งในแบรนด์ขนมหวานจากตะวันตกแบรนด์แรกที่เข้าสู่ตลาดเมียนมา

ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจและการที่ประชากรมีความตื่นตัวต่อแบรนด์ระดับโลก เวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับ Krispy Kreme ที่จะนำเสนอขนมหวานชนิดนี้สู่ตลาดเมียนมา โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดร้านในเมียนมาราว 10 แห่ง ในอนาคต

เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น แต่งตั้งนักวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการชาวมาเลเซียคนแรก เป็นสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการ

กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย, 26 กรกฎาคม 2561 – เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น บริษัทโภชนาการระดับโลก ประกาศแต่งตั้ง ดร.ฮามิด จัน บิน จัน โมฮาเหม็ด ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เป็นสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการ (NAB) คนแรกในมาเลเซีย โดย ดร.ฮามิด จัน บิน จัน โมฮาเหม็ด เป็นประธานโครงการโภชนาการและการกำหนดอาหารแห่งมหาวิทยาลัยซายน์มาเลเซีย และเป็นรองศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและโรคอ้วน
ดร.จอห์น อักวูโนบี ประธานร่วมและประธานเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพและโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น กล่าวว่า “เรายินดีให้การต้อนรับ ดร.ฮามิด สู่คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ ดร.ฮามิด คือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและการกำหนดอาหารที่เป็นที่รู้จักในวงการ จึงถือเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าสำหรับทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ วิทยาศาสตร์ และสุขภาพของเรา เราตั้งตารอที่จะทำงานร่วมกับเขา เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนหันมาใส่ใจกับโภชนาการที่ดีและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงช่วยรับมือกับแนวโน้มสุขภาพที่กำลังเกิดขึ้น เช่น อัตราโรคอ้วนที่พุ่งสูง และจำนวนประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”
ดร.ฮามิด จัน ได้รับรางวัลมาแล้วมากมายตลอดการทำงาน ซึ่งรวมถึงรางวัล Malaspina Scholar Travel Award จากสถาบันชีววิทยาศาสตร์นานาชาติสหรัฐอเมริกาในปี 2558 และยังเป็นสมาชิกของสมาคมโภชนาการแห่งมาเลเซียด้วย
คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากทั่วโลกทั้งในด้านโภชนาการ วิทยาศาสตร์ และสุขภาพ โดยมีหน้าที่ให้ความรู้และฝึกอบรมสมาชิกอิสระของเฮอร์บาไลฟ์ในเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีและกระฉับกระเฉง รวมถึงโภชนาการที่เหมาะสมอีกด้วย
การแต่งตั้ง ดร.ฮามิด จัน เป็นสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทของบริษัทในการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมด้านโภชนาการที่ดีในเอเชียแปซิฟิก ผ่านการสร้างความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการระดับแนวหน้าในภูมิภาค

การประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟไทย ACID 2018

กรุงเทพฯ, 7 สิงหาคม 2561 – ACID 2018 THAILAND EXCELLENT COFFEE เผย 11 รายชื่อเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยคุณภาพที่ผ่านการคัดเลือก เพื่อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในโครงการประชุมการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟในอาเซียน ครั้งที่ 1

เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยคุณภาพสนใจส่งเมล็ดกาแฟเข้าร่วมประกวดรายการการประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟไทย ACID 2018 คึกคักกว่า 70 ตัวอย่าง ล่าสุดคณะกรรมการตัดสินการประกวดฯ ประกาศ 11 รายชื่อเกษตรกรและกลุ่มเกษตรที่เข้ารอบ เพื่อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งจะมีการประกาศผลผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศในการจัดงานโครงการประชุมการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟในอาเซียน ครั้งที่ 1 ที่จังหวัดเชียงใหม่

นายอนันต์ ดาโลดม นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะอำนวยการจัดประชุมการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟในอาเซียน ครั้งที่ 1 หรือ 1st ASEAN Coffee Industry Development Conference (ACID 2018) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟไทย ACID 2018 (ACID 2018 THAILAND EXCELLENT COFFEE) ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพกาแฟไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำว่า กิจกรรมการประกวดฯ นับว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ เนื่องจากในเบื้องต้นทางคณะผู้จัดงานฯ ตั้งเป้าผู้ส่งผลผลิตเมล็ดกาแฟเข้าประกวดเพียง 40 ตัวอย่าง แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจในการพัฒนาคุณภาพเมล็ดกาแฟของเกษตรกร ประกอบกับการประกวดรายการนี้เป็นรายการใหญ่ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในการพระราชทานถ้วยรางวัล ทำให้เกษตรกรเกิดการตื่นตัวในการส่งเมล็ดกาแฟเข้าร่วมประกวดจำนวนมากถึง 70 ตัวอย่าง

แม้การจัดการประกวดฯ ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรก แต่การคัดเลือกและการตัดสินถือว่ามีความเข้มข้นสูง โดยในการคัดเลือกรอบแรกคณะกรรมการได้ใช้เกณฑ์การให้คะแนนตามมาตรฐานของสมาคมกาแฟพิเศษสหรัฐอเมริกา (Specialty Coffee Association of America; SCAA) ในการคัดเลือกเมล็ดกาแฟ และประเมินคุณภาพกาแฟโดยใช้ประสาทสัมผัส (Cupping) ในส่วนของรสชาติ กลิ่น และความรู้สึกที่มีต่อกาแฟ จากนั้นในการคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ทางคณะกรรมการได้ใช้เกณฑ์การประเมินคุณภาพกาแฟตามมาตรฐาน COE (Cup of Excellence) ของกลุ่มพันธมิตรเพื่อความเป็นเลิศทางกาแฟ (Alliance of Coffee Excellence; ACE) ซึ่งคณะกรรมการตัดสินประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อต้องการค้นหาสุดยอดเมล็ดกาแฟไทยที่มีความโดดเด่นและมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติอย่างแท้จริง

ล่าสุดคณะกรรมการการประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟไทย ACID 2018 ได้มีการประกาศผลผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายที่มีคะแนนรวมสูงกว่า 82 คะแนน จำนวน 11 ราย ได้แก่
– กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรจากโครงการสร้างป่าสร้างรายได้ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนา
อมก๋อย บ้านขุนอมแฮดใน ตำบลสบโขง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ (Honey Process)
– กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรจากโครงการสร้างป่าสร้างรายได้ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนา
อมก๋อย บ้านขุนอมแฮดใน ตำบลสบโขง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ (Dry Process)
– นางสาวบงกชษศฏา ไชยพรหม ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ (Wet Process)
– นายบัญชา ยั่งยืนกุล บ้านขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (Wet Process)
– นางสาวปนิดา คิดงาม ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ (Wet Process)
– นายไพศาล โซ่เซ ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย (Wet Process)
– นางภัทรานิษฐ์ พรอิทธิกิจ บ้านผาฮี้ ตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (Wet Process)
– นายสิรวิชญ์ สิริโชควัฒนกุล บ้านแม่จันใต้ ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย (Wet Process)
– นายศิวกร โอ่โดเชา หมู่บ้านหนองเต่า ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ (Wet Process)
– ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย ตำบลดอยช้าง อำเภอวาวี จังหวัดเชียงราย (Dry Process)
– ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย ตำบลดอยช้าง อำเภอวาวี จังหวัดเชียงราย (Wet Process)
โดยการประกาศอันดับและผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศนั้นจะมีขึ้นในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 และมีพิธีรับมอบรางวัลถ้วยพระราชทานในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 ในการจัดงานโครงการประชุมการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟในอาเซียน ครั้งที่ 1 ณ จังหวัดเชียงใหม่

ด้าน Mr.Shieh Chen Hsiao, International Jury Cup of Excellence, Taiwan ในฐานะประธานกรรมการการตัดสินการประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟไทย ACID 2018 และกรรมการการตัดสิน COE ระดับนานาชาติ กล่าวว่า กาแฟที่ผลิตได้จากประเทศไทยนับว่ามีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราพบว่ากาแฟไทยที่สามารถทำคะแนนได้เกิน 80 คะแนนมีปริมาณมากขึ้น จนถึงวันนี้มีกาแฟไทยจำนวนหนึ่งสามารถทำคะแนนได้สูงกว่า 85 คะแนน ทำให้ก้าวขึ้นสู่กาแฟที่เรียกได้ว่าเป็นกาแฟพิเศษ หรือ Cup of Excellence อย่างแท้จริง ถือเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมกาแฟของไทยในระดับสากล

ผลที่เกิดขึ้นจากการประกวดฯ ครั้งนี้ นอกจากจะแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ปลูกกาแฟของไทย ความสามารถในการปลูก การดูแลต้นกาแฟ ผลผลิตกาแฟ และกระบวนการผลิตเมล็ดกาแฟของเกษตรกรไทยแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและความมุ่งมั่นของผู้อยู่ในอุตสาหกรรมกาแฟและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องของไทย ซึ่งร่วมมือกันพัฒนาและผลักดันให้ประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตกาแฟชั้นนำของโลกอีกด้วย

SATO Provides Resort Hotel with RFID Wine Cellar Inventory Solution

Tokyo, 2 August 2018 – SATO, a leading global provider of Auto-ID solutions that empower workforces and streamline operations announced a new inventory management solution for Tokyo Baycourt Club Hotel & Spa Resort (hereafter, Tokyo Baycourt Club) using an RFID-enabled inventory management system. The system drastically optimized stocktaking operations of the hotel staff and boosted inventory management accuracy. This is the first system of its kind used by Japan’s hotel industry.

Tokyo Baycourt Club is a resort hotel in Tokyo’s Odaiba entertainment district operated by RESORTTRUST, INC. The stocktaking operations of its roughly 5,000 bottles of wine for its restaurants, bars and lounges previously required sommeliers to carefully and laboriously handle each bottle separately and enter details manually into the purchasing system. The hotel sought a faster and more accurate system to streamline operations.

After switching to RFID, Tokyo Baycourt Club can now scan multiple bottles with contactless operation and automatically register inventory in its purchasing system, drastically reducing time spent for stocktaking. At one restaurant in the resort, two workers previously spent eight hours apiece (16 hours total which includes total time spent for stocktaking including items not yet RFID tagged) before switching to RFID. After the upgrade, the operation only required one staff and two hours, for an 88% labor savings.

Tokyo Baycourt Club head of operations Katsuhiro Kawamura said, “Thanks to the RFID system, we were able to both streamline our painstaking stocktaking processes and reduce the number of mistakes from human error. It also improves accuracy of inventory management by allowing us to see inventory right away, which minimizes our risk of lost bottles. We are looking at using RFID for other products and expanding the system to hotels in the future.”

Tokyo Baycourt Club beverages head Katsuhiko Aihara said, “We implemented RFID as a way to strengthen our internal controls. By utilizing RFID in our stocktaking, we digitized our wine list which ensures inventory management transparency. If successful, it will allow us to go paperless and provide labor savings for refreshing our wine stocks, speeding up our response time for customers and reducing total working hours. I expect the system to provide a good return on investment.”

อย. จับมือเอกชน ถก “ลดเค็ม” นำร่องอาหารกลุ่มเสี่ยง 4 ชนิด

กรุงเทพฯ, สิงหาคม 2561 – อย.จับมือผู้ประกอบการ หนุนขับเคลื่อนมาตรการรณรงค์ลดบริโภคเกลือและโซเดียมในอาหารสำเร็จรูป หลังพบเกือบร้อยละ 30 ของการตายในประเทศไทยมาจากการกินเค็ม ตั้งเป้าให้คนไทยกินเค็มลดลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573

ในการประชุมชี้แจงหารือเพื่อจัดทำเป้าหมายเชิงสมัครใจในการลดปริมาณโซเดียมในอาหารสำเร็จรูป ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับองค์การอนามัยโลก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเครือข่ายลดบริโภคเค็ม โดยมีภาคเอกชน และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมเสนอแนะและรับฟังข้อคิดเห็น

นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ประเทศไทยมีการบริโภคเกลือสูงเกือบ 2 เท่าของที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ คือ 5 กรัม หรือ 1 ช้อนชาต่อวัน และจากการรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาล ไขมัน เกลือ หรือโซเดียม มากเกินกว่าปริมาณที่กำหนดในแต่ละวัน ส่งผลให้คนไทยป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด และเป็นสาเหตุการตายเกือบร้อยละ 30 ของการเสียชีวิตทั้งหมดในประเทศไทย

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับเครือข่ายลดการบริโภคเกลือ สสส. และองค์การอนามัยโลก จึงร่วมกันผลักดันการลดการบริโภคเกลือหรือโซเดียม ตามกรอบยุทธศาสตร์นโยบายลดเกลือและโซเดียมของประเทศไทย ปี 2559-2568 โดยมาตรการแรก คือ ขอความร่วมมือกับผู้ผลิตอาหารในการลดปริมาณเกลือหรือโซเดียมลง เพื่อให้ปลอดภัยต่อสุขภาพของคนไทย มุ่งเน้นอาหารกลุ่มเสี่ยง 4 ชนิด ได้แก่ ขนมขบเคี้ยว อาหารกึ่งสำเร็จรูป เครื่องปรุงรส อาหารแช่เย็นและแช่เข็ง โดยเฉพาะอาหารกลุ่มสำเร็จรูป บะหมี่และก๋วยเตี๋ยวสำเร็จรูป รวมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์โจ๊กข้าวต้มสำเร็จรูป อาหารสำเร็จรูปยอดฮิตของคนไทย ซึ่งมีโซเดียมอยู่ในปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบต่อหนึ่งหน่วยบริโภค

ส่วนมาตรการทางด้านฉลากอาหาร ทาง อย. ได้สนับสนุนให้ผู้ประกอบการอาหารที่สามารถลดหวาน มัน เค็ม ติดฉลาก “ทางเลือกสุขภาพ” บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่า อาหารดังกล่าวนั้นอยู่ในเกณฑ์ไม่เป็นอันตรายและเหมาะกับสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจำนวน 633 ผลิตภัณฑ์ หากมาตรการต่างๆ ที่ออกมาแล้วยังไม่ได้ผล ภายใน 2-3 ปี ก็ต้องมาพิจารณาว่าควรจะออกกฎหมายมาบังคับใช้ได้หรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องของภาษีเกลือและโซเดียม เหมือนอย่างประเทศทางยุโรปที่สามารถนำมาใช้ได้แล้ว

“อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ให้คนไทยลดการบริโภคเกลือและโซเดียมให้ประสบผลสำเร็จนั้น จำเป็นต้องสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้บริโภคได้รับรู้ตระหนักถึงอันตรายของการบริโภคเกลือและโซเดียมมากเกินไป และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ในที่สุด อาจจะเริ่มตั้งแต่การสอนในรั้วโรงเรียน ซึ่งเป็นแนวทางทางที่เรากำลังบูรณาการร่วมกันกับกระทรวงศึกษาธิการ เพราะถือเป็นยุทธศาสตร์ของชาติเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกที่ต้องการลดการบริโภคโซเดียมในอาหารลงร้อยละ 20 ภายในปี ค.ศ.2030” รองเลขาธิการ อย. กล่าว

ด้าน ผศ. นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายลดบริโภคเกลือและโซเดียม เพื่อลดโรคไม่ติดต่อระดับชาติ ได้มีนโยบายในการปรับลดค่าปริมาณโซเดียมที่เหมาะสมในการบริโภคจากเดิม 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน เป็น 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อลดสาเหตุการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

“เราไม่ได้ห้ามให้เลิกทานเค็ม แต่ต้องรู้จักเฉลี่ยการบริโภคเกลือหรือโซเดียมต่อมื้อให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมของแต่ละวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทานอาหารจากร้านปรุงสด ซึ่งในส่วนนี้จะต้องรณรงค์ขอความร่วมมือไปยังร้านค้าให้ช่วยลดความเค็มลงด้วย” ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าว

“พาณิชย์” แนะโอกาสทองส่งออกปลาหมึก “ซึรึเมะอิกะ” ไทยเข้าสู่ญี่ปุ่น

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยประมงญี่ปุ่นจับปลาหมึก “ซึรึเมะอิกะ” ได้น้อยลง และรัฐบาลยังกำหนดโควต้าจับจนทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลน แนะไทยใช้โอกาสนี้ผลักดันส่งออกปลาหมึกไทยเข้าไปเพิ่มส่วนแบ่งตลาด พร้อมขอให้เข้มงวดเรื่อง IUU เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทย

นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ได้รายงานถึงโอกาสการส่งออกปลาหมึก “ซึรึเมะอิกะ” หรือปลาหมึกบิน ของไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น หลังจากได้สำรวจความต้องการในตลาดแล้วพบว่า ขณะนี้ญี่ปุ่นประสบปัญหาการขาดแคลนปลากหมึกซึรึเมะอิกะ เพราะชาวประมงญี่ปุ่นจับปลาหมึกชนิดนี้ได้ลดลง เพราะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำทะเล ทำให้ปลาหมึกโตช้า และยังมีการเข้ามาจับปลาหมึกของเรือประมงต่างชาติทั้งเกาหลีเหนือและจีนเพิ่มขึ้น ทำให้ประมงญี่ปุ่นจับได้น้อยลง

ทั้งนี้ ผลจากการที่ปลาหมึกซึรึเมะอิกะเข้าสู่ตลาดน้อยลงทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาขายส่งอยู่ที่ 564 เยนต่อกิโลกรัม (กก.) หรือประมาณ 164 บาทต่อ กก. เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 80 จากเมื่อ 2 ปีก่อนหน้า และยังส่งผลให้ร้านอาหารที่ใช้ปลาหมึกในการประกอบอาหารมีรายได้ลดลง และหันไปใช้สัตว์น้ำประเภทอื่นทดแทน

ขณะเดียวกัน กรมประมงญี่ปุ่น ยังได้มีมาตรการกำหนดโควต้าจับปลาหมึกซึรึเมะอิกะ ปีงบประมาณ 2561 (เม.ย. 2561-มี.ค. 2562) ให้เหลือเพียง 97,000 ตัน เพื่อให้ปลาหมึกได้มีโอกาสแพร่พันธุ์มากขึ้น และเพิ่มปริมาณการนำเข้าปลาหมึกซึรึเมะอิกะจากต่างประเทศในปี 2561 เป็น 87,000 ตัน เพื่อลดผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบ และยังมีแนวโน้มว่าญี่ปุ่นอาจต้องเพิ่มโควต้านำเข้าอีกในเร็วๆ นี้

“ผลจากความต้องการปลาหมึกซึรึเมะอิกะที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ทำให้เป็นโอกาสสำหรับปลาหมึกไทย โดยไทยสามารถส่งออกปลาหมึกมงโกอิกะหรือหมึกกระดองไปยังญี่ปุ่น ภายใต้ความตกลง JTEPA (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น) ได้ เพราะญี่ปุ่นเก็บภาษีนำเข้าเป็นศูนย์แล้ว แต่สำหรับปลาหมึกซึรึเมะอิกะและปลาหมึกอื่นๆ ญี่ปุ่นเก็บภาษีนำเข้าระหว่างร้อยละ 3.5-5 ซึ่งขณะนี้ ไทยกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาให้ญี่ปุ่นลดภาษีนำเข้าในกลุ่มปลาหมึกเพิ่มเติมอยู่ หากทำสำเร็จจะช่วยสนับสนุนการส่งออกและสร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทย”

อย่างไรก็ตาม ในการส่งออกปลาหมึกไปยังตลาดญี่ปุ่น ผู้ประกอบการไทยต้องมีการกำกับดูแลเกี่ยวกับการประมง เพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายหรือกฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการทำประมงที่ผิดกฎหมาย การประมงที่ขาดการรายงาน และการประมงที่ขาดการควบคุม (IUU) เพราะนอกจากจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของอุตสาหกรรมประมงของไทยแล้ว ยังเป็นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้มีความยั่งยืนต่อไปด้วย

ในปี 2560 ญี่ปุ่นมีการนำเข้าปลาหมึกซึรึเมะอิกะ ปริมาณ 93,069 ตัน แหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ จีน ชิลี และเปรู ปริมาณ 44,744 ตัน , 14,744 ตัน และ 11,593 ตันตามลำดับ และนำเข้าจากไทยเป็นลำดับที่ 9 ปริมาณ 85 ตัน โดยปลาหมึกซึรึเมะอิกะที่ไทยส่งออกไปยังญี่ปุ่น มีทั้งรูปแบบปลาหมึกสดและปลาหมึกแปรรูป

หนุน SME คลัสเตอร์มะพร้าวในงาน TI Expo 2018

3 สิงหาคม 2561

นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) นายวชิระ แก้วกอ ผู้อำนวยการฝ่ายประสานเครือข่ายผู้ให้บริการ SMEs สสว. ร่วมด้วยนางนิตยา พิระภัทรุ่งสุริยา รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร และนางอรวรรณ แก้วประกายแสงกูล ที่ปรึกษาสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมเครือข่าย SME ในกลุ่มอุตสาหกรรมมะพร้าวที่เข้าร่วมงาน Thailand Industry Expo 2018 (TI Expo2018) ณ บูธสถาบันอาหาร อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ภายในงานมีผู้แทนเครือข่ายจากกลุ่มคลัสเตอร์ Best Coconut (สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี) กลุ่มคลัสเตอร์พร้าวหอมสามพราน (นครปฐม) และกลุ่มคลัสเตอร์ Coco Inter Prachin (ปราจีนบุรี) นำสินค้ามาจัดแสดงและจำหน่าย เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ภายใต้โครงการสนับสนุนเครือข่าย SME ปี 2561 ในกลุ่มอุตสาหกรรมมะพร้าวและกล้วย ซึ่งสถาบันอาหารได้รับมอบหมายจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้ดำเนินการ

Beverage Idea: Let’s see what’s hitting the shelves?

ไอเดียแจ่มๆ ของเครื่องดื่มแจ๋วๆ

  

Translated and Compiled By: Editorial Team

Food Focus Thailand Magazine

editor@foodfocusthailand.com

 

Full article TH-EN

จับตามองเครื่องดื่มทั้งแบบผสมและไม่ผสมแอลกอฮอล์…แนวไหนที่โดน…จนต้องโหนกระแส

Vita Coco เปิดตัวน้ำมะพร้าว ‘bubbles with benefits’ มาใน 4 รสชาติ คือ เกรพฟรุต เลมอนจิงเจอร์ ราสเบอร์รี่ไลม์ และเสาวรสผสมสับปะรด รสซ่าๆ สร้างความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และยังเป็นอิเล็กโทรไลต์ ลดการเกิดภาวะขาดน้ำจากการสูญเสียเหงื่อตามแบบฉบับของน้ำมะพร้าว

Coca-Cola ฉีกความแตกต่างจาก Coca-Cola Classic ด้วยการนำเสนอเครื่องดื่มใสๆ รสเลมอน ปราศจากแคลอรี ในชื่อ Coca-Cola Clear ที่ประเทศญี่ปุ่น ผลิตภัณฑ์น้องใหม่นี้เปิดตัวในช่วงฤดูร้อน นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ เนื่องจากเครื่องดื่มอัดแก็สจะเติบโตดีในหน้าร้อน และสร้างมูลค่าตลาดได้มากกว่าในฤดูหนาวถึง 1.5 เท่า

หากอยากผ่อนคลายสบายๆ ลองจิบ ALO® เครื่องดื่มจากว่านหางจระเข้ที่ใช้วัตถุดิบจากใบว่านหางจระเข้แท้ๆ ปลูกในไร่แบบยั่งยืนในประเทศไทย ผสมผสานกับน้ำผลไม้ และส่วนผสมชั้นดี อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนต่างๆ ALO® ครองตำแหน่งเครื่องดื่มจากว่านหางจระเข้พร้อมดื่มอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา

ชาหมัก (Kombucha) นับเป็นยาอายุวัฒนะมาแต่โบร่ำโบราณ ด้วยส่วนผสมของโพรไบโอติก ดีต่อระบบลำไส้และช่วยระบบการย่อยอาหาร มีคุณสมบัติสร้างความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และขับสารพิษ ชาหมักเป็นที่รู้จักกันในฐานะซูเปอร์ดริงก์ที่ช่วยส่งเสริมระบบประสาทและระบบการย่อยอาหาร

From non-alcoholic drinks to alcoholic beverage, keep an eye on some of the new products hitting the shelves around the world.

Coconut water brand Vita Coco has launched a sparkling collection in four flavors: grapefruit, lemon ginger, raspberry lime and pineapple passionfruit. Dubbed ‘bubbles with benefits,’ the sparkling line is a delicious blend of carbonated water and coconut water, providing the tingly refreshment of a sparkling drink with the functionality, electrolytes and hydration of coconut water.

Coca-Cola has launched a transparent drink called Coca-Cola Clear in Japan. Coca-Cola Clear is a lemon flavor zero calorie drink: with the recipe omitting the caramel coloring used in Coca-Cola Classic. Coca-Cola Japan says the launch has been timed for the summer months when novelty is required in an increasingly competitive market, with the summer carbonated beverage market around 1.5 times bigger than in winter.

 Want a drink that gives back to your body with every sip? Say Hi to ALO®, aloe vera drinks made from real aloe vera pulp and juice ensuring goodness that is straight from the leaf – never from powder – blends it with real fruit juice and other fine ingredients. Aloe vera comes from a sustainable farm in Thailand.

 

An ancient elixir that has been enjoyed for centuries. Liberty Kombucha is full of healthy, living bacteria known as probiotics. These are great for your gut, aid in digestion and are known to have energizing, detoxifying and healing properties.