Case Study: Fresh Produce Supplier and Retailer Collaboration

กรณีศึกษา:ความร่วมมือของผู้ค้าปลีกและซัพพลายเออร์ด้านการขนส่งสินค้าผักและผลไม้สด

 

By: Oliver Wyman
www.oliverwyman.com
Fruit Logistica
fruitlogistica@messe-berlin.com

Translated by: กองบรรณาธิการ
นิตยสาร ฟู้ด โฟกัส ไทยแลนด์
Editorial Team
Food Focus Thailand Magazine
editor@foodfocusthailand.com

Full article TH-EN

เมื่อก่อนการซื้อขายสินค้าผักและผลไม้สดระหว่างร้านค้าปลีกและซัพพลายเออร์นั้นมักจะติดต่อซื้อขายกันเองที่หน้าร้านโดยตรง ดำเนินธุรกิจแบบธรรมดาและใช้วิธีการเจรจาตกลงกันเอง การใช้เทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์เพื่อการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกันบนรากฐานที่แตกต่างกันของผู้ค้าปลีกและซัพพลายเออร์นั้นจะทำให้เกิดการพัฒนาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ร่วมกันซึ่งจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการสร้างผลประโยชน์โดยสมบูรณ์ ความคาดหวังของพวกเขาจึงอยู่ที่ความพยายามร่วมมือกันครั้งใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นในทุกส่วนของซัพพลายเชนและได้รับผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

เมื่อผู้ค้าปลีกและซัพพลายเออร์ได้เคยมีแนวทางการเจรจาต่อรองกันมาอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาสามารถสานสัมพันธ์ทางธุรกิจบนพื้นฐานของความไว้วางใจต่อกันได้ เมื่อก้าวเข้าสู่กิจกรรมทางซัพพลายเชนจึงสามารถสร้างความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน โดยทั้งสองฝ่ายต่างจะได้แสดงทัศนวิสัยทางธุรกิจตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งกิจกรรมทางซัพพลายเชนเหล่านี้จะทำให้ผู้ค้าปลีกและซัพพลายเออร์สามารถทำงานร่วมกันเพื่อวิเคราะห์หาจุดที่ไม่มีประสิทธิภาพและหาทางแก้ไขให้ถูกต้องที่สาเหตุได้

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นยังทำให้ผู้ค้าปลีกได้ลดเวลาสูญเปล่าในขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้าโดยการส่งคำสั่งซื้ออย่างมีขอบเขตได้ล่วงหน้า ดังนั้น ข้อมูลการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าจากผู้ค้าปลีกจึงถูกใช้เป็นตัวกำหนดของซัพพลายเออร์ในการแสดงข้อมูลและดำเนินการส่งสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง การประเมินปริมาณสินค้าล่วงหน้านี้ก็เพื่อให้การดำเนินงานในขั้นตอนต่อไปมีความแน่นอนมากยิ่งขึ้น

In the past, the relationship between retailers and fresh produce suppliers has often been
confrontational, shaped by regular and tough negotiations. Taking the opportunity to place
one such relationship on a different footing, two businesses – a retailer and a supplier – jointly developed a strategic partnership with the objective of producing mutual benefits. Their hope was that this new, collaborative effort would create additional value all along the supply chain, with both partners benefiting.

Once the retailer and supplier had set aside their long tradition of negotiation, they were able
to start the process of building a relationship based on trust. They set out on this journey by
first ensuring full, end-to-end visibility across both partners’ businesses when it came to all
of their supply chain activities. This enabled them to work together to detect where the
existing inefficiencies were located, and then to systematically correct the root causes.

As a result, the retailer has reduced idle times in the ordering process by transmitting orders
marginally earlier, so they can be factored into the supplier’s earlier pick-and-pack iteration.
Volume forecasts are now being shared early in the process to bring forward certain process
steps.

สผ. ร่วมกับ GIZ ขับเคลื่อนนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปสู่การดำเนินการในพื้นที่เพิ่มอีก 60 จังหวัด

Horti ASIA 2018 นวัตกรรมพืชสวนแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์: ผู้นำในด้านการรับมือความท้าทายของกลุ่มอุตสาหกรรม

19 กรกฎาคม 2561 –

บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ร่วมกับรัฐบาลสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ แถลงข่าวการจัดงาน ฮอร์ติ เอเชีย 2018 ณ สถานทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย โดยมี มร.เกส ปีเตอร์ ราเดอ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวเปิดงาน และมีการอภิปรายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมพืชสวนในประเทศเนเธอแลนด์ เรื่องโอกาสในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและจะกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมพืชสวนของโลกได้อย่างไร

ภายในงาน ยังได้รับเกียรติจาก กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย และผู้สนับสนุนหลักในการจัดงาน สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ร่วมพูดคุยถึงบทบาทของภาครัฐและเอกชนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านของอุตสาหกรรมพืชสวนในประเทศไทยแข็งแกร่งขึ้น ผ่านงานฮอร์ติ เอเชีย 2018 นำเสนอปัจจัยการผลิตทางการเกษตรและนวัตกรรมด้านการปลูกพืชผัก ไม้ผล และดอกไม้แห่งภูมิภาคเอเชีย ระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคม 2561 ณ ฮอลล์ 98 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ ร่วมกับ งานอะกริเทคนิก้า เอเชีย 2018 งานแสดงนวัตกรรม เทคโนโลยีด้านเครื่องจักรกลการเกษตร

คุณนิชาภา ยศวีร์ ผู้อำนวยการอาวุโสของสำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลรับผิดชอบด้านการสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย และยังเป็นผู้สนับสนุนงานแสดงสินค้า ฮอร์ติ เอเชีย นับตั้งแต่ครั้งแรก ได้กล่าวว่าในปีนี้ “เรามีความยินดีที่แคมเปญของเรา “Exhibiz in Market” ได้มีส่วนร่วมในการดึงดูดพาวิลเลียนใหญ่จาก 7 ประเทศในงานฮอร์ติ เอเชีย และงานอะกริเทคนิก้า เอเชีย 2018 การให้ความสนับสนุนของ สสปน. เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับนโยบายของรัฐบาลไทย ซึ่งก็คือการใช้งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย 4.0 เนื่องจากงานแสดงสินค้าทั้งสองงานนี้มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและยกระดับภาคส่วนเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมอนาคต (S-curve) ในนโยบายประเทศไทย 4.0 โดยองค์กรยังมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นเป้าหมายในการทำธุรกิจด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารให้สำเร็จที่เหมาะสมที่สุดในภูมิภาค เนื่องจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการส่งออกผลผลิตจากทั้งสองอุตสาหกรรมนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ที่ตั้งของประเทศไทยนับว่าเป็นใจกลางของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เป็นสามารถยกเป็นศูนย์กลางเพื่อพร้อมรับเศรษฐกิจที่กำลังเกิดใหม่ของภูมิภาคได้ และเพื่อเสริมสร้างศักยภาพดังกล่าวนี้ สสปน. ได้สนับสนุนแนวทางเพื่อให้มั่นใจว่าอุตสาหกรรมจัดแสดงสินค้าของประเทศไทยนั้นพร้อมเสมอที่จะกระตุ้นความสำเร็จในการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ

“เราต้องการแสดงถึงความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ของเรา ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งพืชผลเขตร้อนและเฉพาะถิ่นที่สามารถเพาะปลูกได้ในประเทศไทยและทวีปเอเชีย” กล่าวโดย นายไมเคิล เดวาร์รีแวร์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท East-West Seed ซึ่งบริษัทนี้ได้นำเสนอนวัตกรรมปรับปรุงพันธุ์พืชผักใหม่ล่าสุด “ส้มตำ F1” ซึ่งเป็นมะละกอที่ไม่ได้เกิดการการตัดแต่งพันธุกรรม ในโชว์พิเศษ “ส้มตำ” โดยมีท่านเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทยได้เข้ามาร่วมตำส้มตำด้วย

สำหรับผู้จัดงานฮอร์ติ เอเชีย นายมานูเอล มาดานิ ผู้จัดการโครงการ กล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้เรามารวมกันได้นั้นคือความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความปลอดภัยของอาหาร การผลิตพืชชีวภาพ กระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว และการเก็บรักษาด้วยความเย็น งานฮอร์ติ เอเชีย 2018 จะกลายเป็นงานที่รวมวิสัยทัศน์ของผู้เชี่ยวชาญของอุตสาหกรรม รวมถึงบริษัทชั้นนำอีกมากกว่า 300 บริษัท จาก 25 ประเทศทั่วโลก เช่น เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อิตาลี ตุรกี เกาหลีใต้ มาเลเซีย และไทย ในงานนี้จะครอบคลุมความต้องการด้านพืชสวนทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่การเตรียมวัสดุปลูก การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การปรับปรุงพันธุ์ การดูแลใส่ปุ๋ยปุ๋ย การปรับปรุงคุณภาพดิน การระบายอากาศ และเทคโนโลยีโรงเรือน”

หากท่านสนใจเยี่ยมชมงานแสดงสินค้า ท่านสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ www.horti-asia.com โดยใช้รหัสลงทะเบียน VMB 20014 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ +662-670-0900 ต่อ 209, 212

KH Roberts 50th Anniversary & Integrated Manufacturing Facility Official Opening Launch of a New Automated and Smart Flavour Manufacturing Facility

Singapore, 18 July 2018

 KH Roberts (KHR) will be commemorating their 50th Anniversary with the official opening of its new state-of-the-art integrated flavour manufacturing facility. The facility spans over 100,000 square feet and was built on a total investment of more than $20 million. The opening of KHR’s new facility will be graced by Mr.Chan Chun Sing, Minister for Trade & Industry.

 

Employing smart technologies, automation and digitisation at their new integrated flavour manufacturing facility, KHR is proud to announce the successful commissioning of a state-of-the-art automated liquid distribution and dispensing system, a core capability in their new facility. The customised automated system is the first-of its-kind in the industry, synergising both automation and scalability of production batch sizes. It works to reduce reliance on manual labour, extend production uptime, minimise risk of product defects and consistently meet stringent food safety requirements.

 

The new facility also includes a full-fledged flavours R&D centre, equipped with flavour creation, sensory evaluation, analytical testing, product development and bench-top chemistry capabilities. Integrated to the facility is a dedicated pilot plant space for small scale product development and test production, enabling customers and collaborators to test new pre-commercial and new technology-based products prior to commercial production. These capabilities help KHR to enhance their agility and speed to market.

 

CEO of KHR, Dr.Peter K.C. Ong says “The adoption of automation helps us to achieve production capacity scalability without physical space limitation or labour constraints. With the integration of R&D and pilot production, we will be able to continually innovate and broaden our portfolio by offering customers with best-in-class flavour solutions and a seamless customer experience.”

 

KHR’s strategic partnerships with Enterprise Singapore and SkillsFuture Singapore have helped their employees adapt to the innovative automation and digitisation processes in the new work environment. Ms Chua Xinyi, a Quality Control Executive was among those selected for the SkillsFuture Earn and Learn Programme, allowing her to build on her skills and knowledge while transiting to the new work environment.

 

For more information on KHR 50th Anniversary, please visit www.khr50.com.

 

———————————————————————-

KH Roberts ฉลองครบรอบ 50 ปี เปิดตัวโรงงานผลิตกลิ่นรสแห่งใหม่

เปิดตัวระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการผลิตที่สมบูรณ์แบบ

 

สิงคโปร์, 18 กรกฎาคม 2561

 

KH Roberts (KHR) ฉลองครบรอบ 50 ปี เปิดตัวโรงงานผลิตกลิ่นรสแห่งใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งโรงงานแห่งนี้พรั่งพร้อมด้วยนวัตกรรมแห่งการผลิตอันสมบูรณ์แบบ ครอบคลุมบนพื้นที่กว่า 100,000 ตารางฟุต ด้วยงบการลงทุนสร้างรวมกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยพิธีเปิดครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก Mr.Chan Chun Sing รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิด

 

โรงงานผลิตกลิ่นรสแห่งใหม่นี้มีการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะที่มาพร้อมด้วยระบบอัตโนมัติและระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบมาใช้ในกระบวนการผลิต โดยบริษัทฯ มีความภูมิใจที่จะประกาศความสำเร็จของการใช้นวัตกรรมระบบการจัดการของเหลวในกระบวนการผลิต (Liquid distribution and dispensing system) ซึ่งถือเป็นความสามารถด้านการผลิตหลักของโรงงานแห่งใหม่นี้ ทั้งนี้ เทคโนโลยีการผลิตได้รับการพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะและมีการใช้ในอุตสาหกรรมประเภทกลิ่นรสที่นี่เป็นแห่งแรก โดยมีความพร้อมสำหรับการผลิตทั้งระบบอัตโนมัติและความสามารถในการปรับขยายปริมาณการผลิตได้ตามต้องการ จึงลดการพึ่งพาการใช้แรงงานคน เครื่องจักรสามารถทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบและต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงของการเกิดข้อผิดพลาดในสินค้าที่ผลิต และเป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอาหารที่เข้มงวด

 

นอกจากในส่วนของโรงงานผลิตแล้วยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนากลิ่นรสแบบครบวงจร ทั้งการสร้างสรรค์กลิ่นรสใหม่ๆ การทดสอบทางประสาทสัมผัส การวิเคราะห์ทดสอบ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และงานวิจัยด้านเคมีระดับแนวหน้า โดยการบูรณาการด้านการผลิตและการวิจัยนี้ยังรองรับการผลิตระดับทดลองเพื่อการพัฒนาและทดสอบผลิตภัณฑ์ของลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ก่อนจำหน่ายจริงรวมถึงได้ทดลองใช้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ก่อนที่จะนำไปใช้ผลิตจริงในระดับต่อไป

 

Dr.Peter K.C. Ong, CEO บริษัท KHR เปิดเผยว่า “การใช้ระบบอัตโนมัตินั้นช่วยให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จด้านความสามารถในการผลิตได้โดยปราศจากข้อจำกัดด้านพื้นที่และกำลังแรงงาน การทำงานร่วมกันทั้งฝ่ายผลิตและฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นทำให้บริษัทฯ สามารถคิดค้นและพัฒนากลิ่นรสใหม่ๆ ออกมาได้อย่างหลากหลายเพื่อตอบรับความต้องการและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า”

 

นอกจากนี้ KHR ยังได้สร้างความร่วมมือด้านกลยุทธ์ร่วมกับ Enterprise Singapore และ SkillsFuture Singapore ซึ่งจะยิ่งช่วยให้พนักงานสามารถปรับตัวให้เข้ากับนวัตกรรมของระบบอัตโนมัติและระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานใหม่ทั้งหมด โดยมี Ms.Chua Xinyi ผู้บริหารด้านการควบคุมคุณภาพเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยน SkillsFuture Earn and Learn ครั้งนี้ ซึ่งทำให้เธอสามารถพัฒนาทักษะและความรู้ความสามารถได้ในระหว่างเข้าร่วมโครงการครั้งนี้

 

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ KHR ครบรอบ 50 ปี ได้ที่เว็บไซต์ www.khr50.com.

ธุรกิจร้านกาแฟสร้างจุดขายชูคุณภาพกาแฟ บาริสต้า ชิงตลาด 17,000 ล้านบาท

กรุงเทพฯ, กรกฎาคม 2561 – ธุรกิจร้านกาแฟโตต่อเนื่องมูลค่าพุ่งกว่า 17,000 ล้านบาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับคุณภาพกาแฟและความสามารถบาริสต้า หวังใช้เป็นจุดขาย ล่าสุด ยูบีเอ็ม เอเซีย จับมือ สมาคมบาริสต้าไทย จัดการแข่งขันศิลปะบนถ้วยกาแฟ 2019 (Thailand National Latte Art Championship (TNLAC) 2019) และการแข่งขันการสร้างสรรค์เครื่องดื่มจากกาแฟ 2019 (Thailand National Coffee in Good Spirits Championship (TNCIGS) 2019) ในงานฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2018 เพื่อพัฒนาความสามารถบาริสต้าไทย พร้อมหาตัวแทนเข้าแข่งขันระดับโลก หวังสร้างแชมป์โลกคนที่สอง

นายจัสติน พาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการเติบโตของธุรกิจร้านกาแฟว่า ปัจจุบันมูลค่าธุรกิจร้านกาแฟพุ่งขึ้นสูงถึง 17,000 ล้านบาท เติบโตปีละร้อยละ15-20 จากปัจจัยสำคัญคือ วัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคนไทย โดยอัตราเฉลี่ยในการบริโภคกาแฟของคนไทยอยู่ที่ปีละ 300 แก้ว/คน/ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้อีกมาก เมื่อเทียบกับปริมาณการบริโภคกาแฟจากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่นที่บริโภคกาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ 400 แก้ว/คน/ปี ยุโรปบริโภคกาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ 600 แก้ว/คน/ปี หรือฟินแลนด์บริโภคกาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000 แก้ว/คน/ปี

จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจร้านกาแฟมีการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่ละร้านต้องสร้างจุดเด่นและความแตกต่างเพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งนอกจากการออกแบบและตกแต่งร้านแล้ว ยังมีการนำเสนอถึงคุณภาพของกาแฟและความสามารถของบาริสต้าควบคู่ไปด้วย ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากกลุ่มผู้ดื่มกาแฟรุ่นใหม่ให้ความใส่ใจกับรสชาติและคุณภาพของกาแฟมากขึ้น โดยการชงกาแฟให้ได้รสชาติและคุณภาพดีนั้นต้องอาศัยทักษะ ความรู้ ความสามารถของบาริสต้า ซึ่งต้องใส่ใจตั้งแต่การเลือกเมล็ดกาแฟ วิธีการชงกาแฟ และการสร้างสรรค์เมนูกาแฟให้เป็นที่ถูกใจลูกค้า โดยในหลายปีที่ผ่านมาต้องถือว่าบาริสต้าไทยมีการพัฒนาความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์โลก ลาเต้อาร์ตมาเป็นชาติแรกของอาเซียนได้อีกด้วย

เพื่อเป็นการผลักดันและส่งเสริมการพัฒนาความสามารถของบาริสต้าไทยให้เพิ่มสูงขึ้น ยูบีเอ็ม เอเชีย ผู้จัดงานฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2018 งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีด้านอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับโรงแรม ภัตตาคาร การจัดเลี้ยง และการบริการนานาชาติ จึงได้ร่วมมือกับสมาคมบาริสต้า จัดการแข่งขันศิลปะบนถ้วยกาแฟ 2019 และการแข่งขันการสร้างสรรค์เครื่องดื่มจากกาแฟ 2019 ขึ้น เพื่อหาตัวแทนประเทศไทยไปเข้าร่วมการเข้าแข่งขันในระดับโลกต่อไป

การแข่งขันศิลปะบนถ้วยกาแฟเป็นการแข่งขันศิลปะโฟมนมบนถ้วยกาแฟที่ท้าทาย เพราะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะตัวในการสร้างลวดลาย ด้วยการเทลายลาเต้อาร์ตที่ใช้เพียงอุปกรณ์พิชเชอร์และถ้วยกาแฟเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเทลายทั้งในรูปแบบไม่ใช้อุปกรณ์เพิ่ม (Free-Pour Lattes) และ การเทรูปแบบใช้อุปกรณ์เพิ่มเติมและสี (Designer Lattes) ซึ่งคณะกรรมการจะตัดสินจากลักษณะภาพ ความคิดสร้างสรรค์ ความคมชัด และความเหมือนกันของลายในถ้วยกาแฟที่นำเสนอ

ส่วนการแข่งขันการสร้างสรรค์เครื่องดื่มจากกาแฟ เป็นการแข่งขันรายการใหม่ครั้งแรกของประเทศไทย โดยจะเน้นทักษะการผสมผสานกาแฟกับส่วนผสมอื่นให้เกิดเป็นเมนูเครื่องดื่มที่ลงตัว สามารถนำเสนอได้ทั้งในรูปแบบร้อน อุ่น และเย็น ซึ่งการตัดสินคณะกรรมการจะพิจารณาจากทักษะการทำกาแฟ รสชาติที่สร้างสรรค์ ความลงตัวของเครื่องดื่ม และรูปแบบการนำเสนอ

ผู้ชนะการแข่งขันทั้งสองรายการจะได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันในเวที World Latte Art Championship (WLAC) 2019 และเวที World Coffee in Good Spirits Championship (WCIGS) 2019 ซึ่งผู้จัดการแข่งขันฯ มีความมุ่งหวังอย่างยิ่งที่จะใช้เวทีระดับโลกสร้างชื่อเสียงให้แก่บาริสต้า ธุรกิจกาแฟ และ อุตสาหกรรมกาแฟของไทย หลังจากเวทีนี้เคยส่งให้ อานนท์ ธิติประเสริฐ เป็นแชมป์โลก ลาเต้อาร์ต มาแล้ว เราจึงหวังว่าเวทีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งในการสร้างแชมป์โลกคนต่อไปให้กับประเทศไทย

สำหรับการแข่งขันศิลปะบนถ้วยกาแฟ 2019 และการแข่งขันการสร้างสรรค์เครื่องดื่มจากกาแฟ 2019 นั้น จะจัดขึ้นในงานฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2018 ระหว่างวันที่ 5-8 กันยายน 2561 ณ ไบเทค บางนา ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฯ สามารถสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 22 สิงหาคม 2561 เข้าดูข้อมูลและรายละเอียดการแข่งขันฯ ที่ คุณวิษณุ อีเมลล์ info@thaibarista.org, wisanu@k2.co.th หรือ โทรศัพท์ 0 2276 5170

“ไทย” ประกาศเจตนารมณ์เดินหน้าปฏิรูปภาคการประมงอย่างจริงจังบนเวทีระดับโลก พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกประเทศเพื่อขจัด IUU

อิตาลี, 9 กรกฎาคม 2561 – ดร.อดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสนำคณะผู้แทนประเทศไทยเดินทางเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการประมง (COFI) ณ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กรุงโรม ประเทศอิตาลี ซึ่งมีประเทศสมาชิกและหน่วยงานด้านการประมงเข้าร่วมประชุมกว่า 700 คน จาก 194 ประเทศทั่วโลก โดยมีวาระการประชุมที่สำคัญ ดังนี้ (1) การจัดการทรัพยากรทางทะเล (2) การแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน ขาดการควบคุม (3) การบริหารจัดการการทำประมงขนาดเล็กและประมงพื้นบ้าน (4) การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่อการประมง โดยประเทศไทยได้ใช้โอกาสดังกล่าวในการประกาศเจตนารมณ์บนเวทีระดับโลก เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในการขจัดการทำประมงผิดกฎหมาย โดยแจ้งต่อที่ประชุมถึงการประกาศให้การปฏิรูปภาคการประมงของไทยเป็นวาระแห่งชาติ และพร้อมที่จะเดินหน้าส่งเสริมให้มีการจัดการประมงอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ ยินดีให้ความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย พร้อมปรับกลไกการปฏิบัติงานให้มีศักยภาพอย่างเต็มรูปแบบ เช่น เข้าไปมีส่วนร่วมและปฏิบัติตามข้อตกลงในระดับภูมิภาค มีการจัดทำแผนปฏิบัติงานแห่งชาติเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีการควบคุมกิจกรรมการทำประมงด้วยเครื่องมือประมงที่ทำลายล้าง (Destructive fishing gears) ส่งผลให้การจับสัตว์น้ำจากธรรมชาติลดลง และเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร พร้อมทั้งเร่งพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อเพิ่มอาหารสำหรับบริโภค ตลอดจนลดการใช้ปลาป่นในการผลิตอาหารสัตว์น้ำ เป็นต้น
ในโอกาสนี้ ประเทศไทยยังได้เสนอให้ FAO รวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลผู้ประสานงานหลักของภาคีที่ไม่ได้เป็นสมาชิก เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการตามข้อตกลงของรัฐเจ้าของท่าทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก พร้อมทั้งพิจารณาจัดทำแนวทางในการตรวจสอบเรือประมงในทะเล เพื่อให้สามารถเฝ้าระวังและควบคุมเรือประมงที่ทำประมงเกินขนาดได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะบริเวณทะเลหลวง และขอให้ FAO สนับสนุนส่งเสริมประเทศสมาชิกร่วมกันลดการสูญเสียอาหาร และหันมาใช้วัตถุดิบที่เหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมประมงกันมากขึ้นด้วย

รางวัลผู้สนับสนุนการลดการบริโภคโซเดียมในประเทศไทย

กรุงเทพฯ, กรกฎาคม 2561 – เครือข่ายลดบริโภคเค็ม ขอเชิญหน่วยงาน องค์กร บริษัท ที่เล็งเห็นความสำคัญของสุขภาพผู้บริโภค และมีผลิตภัณฑ์ลดโซเดียม หรือมีกิจกรรม หรือโครงการสนับสนุนการลดบริโภคโซเดียม เสนอชื่อหน่วยงานเข้าร่วมพิจารณา เพื่อรับรางวัลผู้สนับสนุนการลดการบริโภคโซเดียมในประเทศไทย โดยจะมีพิธีมอบรางวัลในวันที่ 1 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุม 201 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ

SMEs ไทยรุกตลาดไต้หวัน ยอดขายพุ่งกว่า 200 ล้านบาท

สสว. ร่วมกับ สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม นำเอสเอ็มอีอาหารแปรรูปของไทยเข้าร่วมแนะนำสินค้าและเจรจาธุรกิจในงาน FOOD TAIPEI 2018 พร้อมศึกษาดูงานโรงงานอุตสาหกรรมที่ทันสมัย และรับฟังการสัมมนาแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและไต้หวันในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้จัดกิจกรรมส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแปรูปของไทยให้มีโอกาสลงพื้นที่จริง เรียนรู้พฤติกรรมการบริโภค การเลือกซื้อ และความต้องการจากคนไต้หวัน นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ พัฒนากลยุทธ์ สร้างคุณค่าใหม่ให้เกิดขึ้น และต่อยอดธุรกิจในตลาดไต้หวันต่อไป โดยได้นำคณะผู้ประกอบการจำนวน 18 ราย ร่วมจัดแสดงสินค้า ศึกษาดูงาน รับฟังการสัมมนา และเจรจาธุรกิจในงาน FOOD TAIPEI 2018 ณ กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน

โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยจำนวน 18 รายที่เข้าร่วมงาน นำผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปที่ได้รับมาตรฐานการผลิตในระดับสากลไปจัดแสดงและเจรจาธุรกิจเพื่อเปิดตลาดในไต้หวัน อาทิ เนื้อจระเข้ทุบ หมู-เนื้อทุบ และอบแห้ง ชาสมุนไพรออแกนิค ผลไม้อบกรอบ พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน มันหวานอบแห้ง ข้าวโพดกระป๋อง กระทิกระป๋อง น้ำอโลเวร่า แมงกะพรุนแปรรูป กุ้งต้มแช่แข็ง ซอสปรุงรสต่างๆ ผลไม้อบแห้งนานาชนิด ไอศกรีมมะม่วง มะม่วง/ทุเรียนอบกรอบดิปน้ำกะทิ หนังไก่ทอดกรอบ บัวลอยเผือก ทับทิมกรอบแช่แข็ง และหนังปลากะพงทอดกรอบ เป็นต้น ซึ่งสามารถสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์ และเกิดการเจรจาซื้อขายจำนวน 460 คู่เจรจาจากคู่ค้าหลายประเทศ ประมาณการว่าภายในระยะเวลาหนึ่งปีต่อจากนี้จะสามารถสร้างมูลค่าการค้ารวมกันได้ราว 205 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ที่มีคำสั่งซื้อสูงสุด ได้แก่ ไอศกรีมมะม่วง ของบริษัท พีพี เอส ฟู้ดส์ โปรดักส์ จำกัด มูลค่า 44 ล้านบาท รองลงมา คือ มะม่วง/ทุเรียนอบกรอบดิปน้ำกะทิ ของบริษัท ไอเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด มูลค่า 27 ล้านบาท แมงกะพรุนแปรรูป และกุ้งต้มแช่แข็ง ของบริษัท โชคดี ซี โปรดักส์ จำกัด มูลค่า 21.4 ล้านบาท ผลไม้อบกรอบ ของบริษัท ฉันทพัฒน์ โซลูชั่น พลัส จำกัด มูลค่า 20 ล้านบาท เป็นต้น

นอกจากนี้ คณะผู้ประกอบการไทยทั้ง 18 ราย ยังได้มีโอกาสศึกษาดูงานที่ บริษัท Namchow Chemical Holdings Co., Ltd ของไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทที่มุ่งเน้นและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 6 ชนิดหลัก ได้แก่ น้ำมัน ผลิตภัณฑ์นม แป้ง ข้าว ผงซักฟอกและเทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจนได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนา “แนวทางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและไต้หวันในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ” ซึ่งมีวิทยากรจากประเทศไทยเข้าร่วมด้วย ได้แก่ ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ดร.ลักษมี ปลั่งแสงมาศ ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และนางสาวกฤษณา แซ่เฮ้ง นักวิชาการส่งเสริมการลงทุนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดย ดร.วิเชียร ฤกษ์พัฒนกิจ ที่ปรึกษาสถาบันอาหาร เป็นตัวแทนสถาบันอาหารเข้าร่วมงานในครั้งนี้

ทั้งนี้ งาน FOOD TAIPEI 2018 เป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน มีผู้ประกอบการร่วมจัดแสดงสินค้าจำนวน 1,628 ราย จาก 40 ประเทศ และมีผู้เข้าชมงานกว่า 60,000 คน จากทุกทวีปทั่วโลก

บูห์เล่อร์โชว์จุดแข็งครอบคลุมเทคโนโลยีเพื่อกระบวนการผลิตอาหารครบวงจร ณ ProPak Asia 2018

 

บูห์เล่อร์นำเสนอแนวทางแก้ปัญหาใหม่ที่น่าสนใจเพื่อตอบโจทย์กระบวนการการผลิตที่หลากหลาย ภายในงาน ProPak Asia 2018 ซึ่งจัดขึ้นภายหลังจากการรวมกิจการอย่างเป็นทางการระหว่างบูห์เล่อร์และฮาสส์ (Hass) เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

บูห์เล่อร์พร้อมเริ่มบทใหม่กับการควบรวมกิจการฮาสส์
ฮาสส์ (Hass) เป็นธุรกิจที่มีประวัติมานานนับศตวรรษ นับว่าเป็นผู้พัฒนาและผู้นำของระบบการผลิตเวเฟอร์ บิสกิตชนิดกรอบและชนิดนุ่ม โคนไอศกรีม เค้ก และขนบอบต่างๆ ทั้งนี้ภายในงาน ProPak Asia 2018 ประเทศไทย ณ บูธบูห์เล่อร์ ฮาสส์ได้ร่วมแสดงสินค้าเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย
มร.มาร์ค เลดสัน กรรมการผู้จัดการบริษัท บูห์เล่อร์ (ไทยแลนด์) จำกัด และผู้อำนวยการฝ่ายขายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “เราตื่นเต้นที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับฮาสส์ในงาน ProPak Asia ในปีนี้ เราเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทฮาสส์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ ในฐานะที่ฮาสส์เป็นผู้เชี่ยวชาญการผลิตลูกกวาดขนมหวานในแถบยุโรป บวกกับความแข็งแกร่งของบูห์เล่อร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อธุรกิจเกิดใหม่ในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียเพื่อให้ผู้ผลิตบิสกิตและเวเฟอร์ท้องถิ่นสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากนวัตกรรมใหม่ๆ และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้”

บูห์เล่อร์ย้ำจุดยืนการพัฒนาอย่างยั่งยืน คุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร
มร.เอเดรียน โบวิซาจ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก กล่าวว่า “เราอยากให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่สะอาดและปลอดภัย แม้ว่าเทคโนโลยีของเราและเครื่องจักรกระบวนการผลิตด้านธัญพืชและอาหาร จะมีหลากหลายและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็มีจุดเห็นพ้องต้องกันคือ การพัฒนาด้านวิศวกรรมเพื่อผลผลิตที่มีคุณภาพสูงและบริโภคได้อย่างปลอดภัย” ทุกวันนี้บูห์เล่อร์มีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตอาหารเพื่อประชากรกว่าสองพันล้านคน” มร.เอเดรียน ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การพัฒนาอย่างยั่งยืนคือกุญแจสำคัญของเรา และเพื่อการดูแลรักษ์โลก เรายิ่งต้องพัฒนากระบวนการผลิตอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยของเสีย ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลของเรา บูห์เล่อร์นับว่าเป็นแนวหน้าของการปฏิวัติ ซึ่งจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายและการวางแผนธุรกิจเพื่อความสำเร็จของลูกค้า

Bühler is offering new and exciting solutions for various process chains at the ProPak Asia 2018. The event is held a few months after Bühler and Haas officially teamed up in January 2018, opening new possibilities for customers around the globe.

Bühler opens a new chapter with the acquisition of Haas
Haas, a family owned company with a history spanning more than a century, evolved to be the pace setter in the field of production systems for wafers, hard and soft biscuits, ice cream cones, cakes, and baked goods. In Asia, Haas will be present at Bühler’s booth for the first time at the ProPak Asia in Thailand.
“We are excited to have the opportunity to feature Haas at ProPak Asia this year. We believe in the strength of the Haas Group, an expert and strong leader in its field. Their European confectionary expertise, together with the strength of Bühler in South East Asia, will greatly benefit start-up companies in Thailand and Asia, allowing local biscuit and wafer producers to create new innovative products and gain market shares,” says Mark Ledson – Sales Director South East Asia at Bühler and Managing Director of Bühler.
Focus on sustainability, food quality and safety
“We want everyone to have access to healthy and safe food. Although our technologies and solutions in grain and food processing are diverse and wide ranges, they all share the same engineering focus – delivering high quality and safe-to-eat products,” says Adrien Beauvisage, Head of Region South East Asia & Pacific. Today, Bühler solutions produce food for more than two billion people each day. “Sustainability is key for us: to feed the planet, we need to become more efficient at producing food, using less energy and reducing waste. With our digital innovations, Bühler is at the forefront of this revolution. Digitalization will help us reach our goals and engineer customer success,” Adrien Beauvisage adds.